บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ต่อยกับไอ้เป้า



มาถึงคราวที่ผมต่อยกับไอ้เป้าบ้าง

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ที่ผมต่อยกับน้องมัน  ไอ้เป้านี่ตัวมันใหญ่กว่าผม  สูงกว่าผมนิดหน่อย  แต่ตัวหนา ล่ำ 

เหตุการณ์นี้เกิดช่วงหัวค่ำ  ผม ไอ้อ๊อดมินทร์ ไอ้จอกไปเที่ยวชัยนาทกัน  ตอนนี้จำไม่ได้แล้วว่า ทำไมต้องไปเที่ยวตอนกลางคืน  ซึ่งโดยปกติแล้ว พวกผมจะไม่ทำกัน

ผมจะไปเที่ยวตัวเมืองชัยนาทกันเฉพาะตอนกลางวัน เพราะ ตอนเย็นๆ รถโดยสารหมด  เมื่อรถโดยสารประจำทางหมด ก็ต้องเดินกลับบ้าน

ถ้าเดินกลับบ้านโดยเดินเลียบริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก็ประมาณ 4-5 กิโลเมตรจะถึงหน้าหมู่บ้านของผม แต่มันคนละฝั่งแม่น้ำ  ต้องหาทางข้ามแม่น้ำอีก

ถ้าเดินโดยอ้อมเขื่อนเจ้าพระยา ระยะทางก็จะกลายเป็นประมาณ 15 กิโลเมตร

แต่วันนั้น ไม่รู้ว่า ทำไมเสือกไปแรดตอนกลางคืนได้   

อย่างที่ได้บอกไปแล้วในบทความ “ต่อยกับน้องไอ้เป้า” ว่า ผมพกลูกซองสั้นไปด้วย  

ปืนลูกซองสั้นเถื่อนนี่ ศัพท์ที่พวกผมเรียกกันคือ “อีโบ๊ะ”  ก็ไม่รู้ความเป็นไปเป็นมาว่า ทำไมเรียกอย่างนั้นเหมือนกัน 

ลูกปืนก็เป็นเบอร์ 12  ขนาดปกติ  ปืนลูกซองมีหลายขนาด ไม่ได้มีขนาดเดียว

จำได้ว่า ช่วงแรกๆ ผมเป็นคนพกปืน  เดินไปเดินมา ผมรำคาญ “อีโบ๊ะ” ของผมเหลือเกิน ผมจึงส่งไปให้ไอ้จอกพกบ้าง

ก่อนเกิดเหตุการณ์ชกต่อยกับไอ้เป้านี่  ผมเดินไปตามถนนพรหมประเสริฐ  เดินไปทางสถานีตำรวจ ว่าอย่างนั้นเถอะ

สถานีตำรวจภูธรจังหวัดชัยนาทนี่ หน้าสถานีติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาเลย  หลังสถานีตำรวจก็คือเป็นถนนพรหมประเสริฐ

จำได้ว่า เดินผ่านร้านกาแฟทางซ้ายมือไปแล้ว ยังเลยไปไม่มาก  ผมเห็นไอ้เป้ามันขี่จักรยานตามมาทางด้านหลัง และกำลังจะผ่านไป

เวลาเดินเที่ยวนี่ ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาเดิน  มันก็เดินแล้วมองโน้นมองนี่ได้เรื่อย  มองไปข้างหลังบ้าง

ก่อนอื่น ต้องขอบอกนิสัยดั้งเดิมของผมก่อนว่า  เห็นผมด่าคน แช่งคน ตีหัวคน ต่อยคนมาตลอดนั้น  ผมไม่ได้เป็นคนมองคนในแง่ร้าย  ไม่ได้เก็บกด เครียดอะไรทำนองนั้น

ผมเป็นคนขี้เล่น เป็นคนตลกพอสมควร

เพื่อนๆ ผม  ถ้าได้คุยกับผม จะมีเสียงหัวเราะมากกว่าอย่างอื่น  ผมเป็นคนประเภท รักดอกไม้ ชอบเสียงเพลง เกลียดการดูถูกคนจน เพราะ มันจะเป็นการดูถูกตัวเอง ว่าอย่างนั้นเถอะ

พอไอ้เป้าขี่จักรยานมาถึงผม กำลังจะผ่านไป ไม่รู้ผีห่าซาตานตัวไหนมาสิงใจ  ทำให้ทำท่าจะเตะมัน เพื่อล้อเล่นมันนั่นแหละ

ทั้งๆ ที่เคยต่อยกับน้องมันมาแล้ว และไม่เคยพูดจา เล่นหัวอะไรกันมาก่อน มันเป็นรุ่นพี่ของผมเสียด้วยซ้ำ

ไอ้เป้ามันหันมามอง แล้วก็ขี่จักรยานผ่านไป  ไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ผิดปกติเกิดขึ้น  ผมก็เดินและยืนเอ้อระเหยลอยชายอยู่แถวนั้น  ต่อไป

ไม่นานนัก  ผมเห็นไอ้เป้ามันขี่จักรยานย้อนกลับมา ...........  ในใจผมก็นึกว่า กูหาเรื่องใส่ตัวเสียแล้ววันนี้

ผมเองเป็นคนหมัดไม่หนัก  รู้ตัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว  พยายามค้นหาวิธีทำให้หมัดหนักมากขึ้นมาแล้วหลายวิธี 

เคยอ่านหนังสือพบว่า การสักธนูมือทำให้หมัดหนักขึ้น ประเภทขวาตาย ซ้ายสลบ อะไรทำนองนั้น แต่ก็หาอาจารย์ไม่ได้  เจอแต่ไอ้ที่สักว่า “จับผู้หญิงไม่ร้อง

วันที่ผมไปสักสิงห์ที่ไหล่ของผมตัวแรก ที่ไหล่ขวา  ไอ้ปิมันก็ไปสัก “จับผู้หญิงไม่ร้อง” นี่แหละ 

ตอนที่ผมอายุ 17-18 ปี ตอนเป็นวัยรุ่นสุดๆ นั้น ผมไม่เคยรักผู้หญิง ไม่เคยจีบผู้หญิง ไม่รู้เรื่องเลย  วันๆ ถ้าไม่อ่านหนังสือ ก็ไปหาตีหัวหมา ด่าแม่คนจีนไปเรื่อย

ผมจึงไปสักสิงห์เพื่อให้หนังเหนียว  แต่ไอ้ปิมันรู้จักจีบผู้หญิงแล้ว  มันจึงไปสัก “จับผู้หญิงไม่ร้อง” ซึ่งเป็นการสักตัวอักษรภาษาขอมเพียง 5 ตัวเท่านั้น

การสักมือนี่ เจ็บชิบหายวายป่วง สังเกตดูจากอาการของไอ้ปิ  สักไปหน้าตาบูดเบี้ยวไป ผมนึกในใจว่า มันจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรือเปล่า...

สักไหล่อย่างผมนี่ ไม่เจ็บเท่าไหร่  สถานที่สัก ที่เจ็บน้อยที่ที่สุดก็คือ กลางหัว  คนเคยสักมันบอกว่า ได้ยินเสียง โนะๆๆๆๆๆๆ  แต่ไม่เจ็บเลย

ผมเคยสงสัยว่า ไอ้สัก “จับผู้หญิงไม่ร้อง” นี่ มันได้ผลจริงๆ หรือเปล่า 

หลังจากสักผ่านไปนานแล้ว ผมอดสงสัยไม่ได้  จึงถามไอ้ปิว่า “ไอ้ปิ กูถามมึงจริงๆ มันได้ผลหรือเปล่า”  

ไอ้ปิ มันตอบว่า “ได้ผลสิ  ไอ้ชินจับอีหมาไม่ร้องสักคำ แต่กูยังไม่เคยลอง

ผมได้ยินคำตอบแล้ว ผมก็เอ่ยมธุรสวาจาว่า “ไอ้เหี้ย”  แล้วก็หัวเราะ เพราะ พี่ชินเขาเป็นสามีพี่หมา

ตอนนั้น ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเพศ เรื่องอะไรทำนองนี้นัก  ถึงตอนนี้ ผมว่า พี่หมาแกก็คงร้องเหมือนกันนั่นแหละ แต่น่าจะร้องด้วยความบันเทิงใจมากกว่า

กลับมาเข้าเรื่อง....  พอผมเห็นไอ้เป้ามันเลี้ยวรถกลับมา  ผมจึงเอาเหรียญบาทมากำไว้ 2 เหรียญเลย

ไอ้จอกมันเคยบอกว่า  ถ้ากำเหรียญบาทจะทำให้หมัดหนักขึ้น  ผมฉลาดมาก เลยกำไว้ 2 เหรียญเลย กลัวว่าบาทเดียวจะหนักไม่พอ 

เหรียญบาทยุคนั้น ใหญ่กว่าเหรียญห้ายุคนี้

ตอนไอ้เป้ามันเลี้ยวรถกลับมานั้น  ผมนึกในใจเหมือนกันว่า ไอ้เป้ามันไปกินดีหมี หัวใจเสือมาจากไหน 

โดยปกติแล้ว จิ๊กโก๋ชัยนาท จะเป็นพวกตาขาว ชอบรุมคน มันไม่ไปไหนคนเดียว  มีเรื่องกับคนอื่นคนเดียว  ตอนนี้ผม 3 คน ตัวเหี้ย ตัวตะกวดทั้งนั้น  ทำไม ไอ้เป้ามันไม่กลัว...

แต่สงสัยได้ไม่นาน ไอ้เป้ามันก็มาถึง  มันถามว่า “เมื่อกี้ มึงทำอะไร

ตอนไอ้เป้ามันถามนี่ มันหยุดรถแล้ว และขายังคร่อมจักรยานอยู่  ผมไม่ตอบมันหรอก ผมต่อยมันด้วยหมัด 2 บาทของผมอย่างสุดแรงเกิดของผมนั่นแหละ

กะว่า โดนหมัดเดียวสลบเลย...

แต่ผมก็พบว่า หมัดน้ำหนัก 2 เหรียญบาทก็ผม ไม่ได้มีประสิทธิภาพอะไรนัก 

อย่างที่บอกมาแต่ต้นแล้ว ไอ้เป้ามันทั้งใหญ่ ทั้งหนา ผมแบกน้ำหนักเยอะว่าอย่างงั้นเถอะ  แรกๆ มันยังตั้งหลักไม่ได้  มันก็โดนผมไปหลายหมัด 

ตอนนั้น จักรยานมันขวางอยู่ เตะไม่ได้  แต่พอไอ้เป้ามันตั้งหลักได้  ผมก็รู้ว่า ไอ้ที่ “อ่วมอรทัย” นั้นมันเป็นยังไง

แต่ผมเป็นพวกเดินหน้ากล้าตาย เกียร์ถอยหลังเก็บไว้บ้าน ตายเป็นตายวะ  ไอ้เรื่องรุมนั้น ไม่มีทางเพราะ ผมไม่ชอบ

แล้วไอ้อ๊อดกับไอ้จอก มันเดินหนีไปแล้ว เพราะ พก “อีโบ๊ะ” เถื่อนมาด้วย

ผมต่อยกับไอ้เป้าไม่รู้ว่านานเท่าไหร่  แต่ก็ใกล้หมดแรงแล้ว สู้แรงมันไม่ไหว เทวดาก็มาโปรด คือ ตำรวจคนหนึ่งเข้าจับผม

ผมก็นึกในใจว่า “ทำไม เพิ่งมาจับ น่าจะมาเร็วกว่านี้” 

อย่างไรก็ดี  ผมก็เข้าถึงภาวะ “รู้แจ้ง” ที่ว่า ทำไมไอ้เป้ามันใจถึงจังวันนี้ เพราะ ตำรวจคนนั้น ด่าผมว่า “มึงกล้าต่อยลูกกู ต่อหน้ากูเชียวหรือ

อ้าว......ไอ้เป้า ไอ้เวร  ที่มึงใจถึงขึ้นมา เพราะ มึงเห็นพ่อมึงนั่งกินกาแฟอยู่ 

ที่จริง ผมไม่เคยโกรธพ่อไอ้เป้าเลย ที่มาจับ  ถ้าแกไม่มาจับตอนนั้น ผมก็คงอาการหนักกว่าที่เป็นอยู่ 

ต่อยหนนี้ หน้าตาไม่เจ็บเท่าไหร่ ไอ้เป้ามันต่อยไม่โดนหน้า  โดนส่วนลำตัวมาก

ผมก็เลยไม่ต้องเดินไปสถานีตำรวจ พ่อไอ้เป้าจับไปส่งเรียบร้อย  ไปถึงโรงพักก็ผมไปขังไว้ในกรงเล็ก ตรงข้ามกับกรงใหญ่

ผมก็เดินเข้ากรงอย่างองอาจ ดูแล้วได้สิทธิพิเศษ คือ อยู่คนเดียว  กรงใหญ่ตรงข้ามนั้น มีสมาชิกมากหน้าหลายตา

กรงใหญ่ที่ว่านั้น ต่อมาอีกไม่นาน ผมก็ได้เข้าไปพักผ่อนอยู่เหมือนกัน ตอนนั้น สอนบรรจุเป็นครูได้แล้วด้วย

ก่อนที่พ่อไอ้เป้า จะจากไป พ่อไอ้เป้าทำสิ่งที่ไม่ควรทำก็คือ พูดจาเยาะเย้ยว่า “มึงต่อยกับลูกกูอีกไหม” ทำนองนั้น  

ผมอารมณ์ไม่ดีอยู่ เนื่องจากต่อยสู้มันไม่ได้ ถูกพ่อมันจับเข้าตะรางอีก ผมเลยโมโหจัด ด่ากลับไปว่า “มึงเอาลูกมึงมาขังรวมกับกูนี่เลย  ต่อยให้ตายกันไปข้างนึงเลย มึงแน่จริงหรือเปล่า

คราวนี้ พ่อไอ้เป้าเงียบกริบ 

บรรดาสมาชิกในกรงขังมองผมอย่างเป็นวีรบุรุษ  พวกนี้เกลียดตำรวจกันทุกคน  แต่ไม่กล้าด่า  เห็นผมด่าตำรวจให้ฟังได้ จึงเป็นกำลังใจให้ยกใหญ่

ไอ้เป้านี้ ผมกลับไปชัยนาทในอีกหลายปีต่อมา เห็นมันขี่จักรยานอีกนั่นแหละ  แต่คงไม่ใช่คันเดิม คราวนี้ มันขี่จักรยานขายหวยอยู่

ผมก็มองมัน มันก็มองผม แต่ไม่พูดอะไรกัน  ผมนึกในใจว่า การที่เป็นลูกตำรวจแล้ว พ่อตามใจ ทำอะไรก็ไม่ติดคุก  มันก็เป็นผลเสียเหมือนกัน

วันรุ่งขึ้น แม่ผมก็มาเสียค่าปรับให้  ตอนเข้าไปเสียค่าปรับ ร้อยตำรวจโทคนที่ทำเรื่องถามผมว่า “ทำไม เด็กบรมธาตุเข้าตัวเมืองทีไร มีเรื่องทุกที

ผมก็ยิ้มแห้งๆ แต่ไม่ตอบอะไร  มันก็เป็นจริงอย่างที่ตำรวจพูดเหมือนกัน

เรื่องนี้ ถึงพ่อผม เพราะ แม่คงเล่าให้ฟัง 

บอกก่อนว่า เรื่องระยำตำบอนทั้งหลายนั้น  ผมและเพื่อนไม่เคยไปเล่าให้แม่ฟัง  แม่จะเป็นคนรู้เรื่องเป็นคนสุดท้ายเลย

ตอนที่ผมไปตีหัวไอ้พวกแกมมอนนั่น  แม่เคยรู้เลยว่า ผมเป็นคนตีหัวพวกนั้น  ผมมาเล่าให้แม่ฟังเมื่อ 20 ปีผ่านไปแล้วเห็นจะได้

เมื่อพ่อถาม  ผมก็เล่าให้ฟัง  พ่อฟังแล้วก็หัวเราะ บอกว่า พ่อไอ้เป้ากับพ่อก็เคยมีเรื่องกัน

ผมนึกในใจ “นี่ตระกูลกู ทะเลาะกับตระกูลไอ้เป้ามาตั้งแต่รุ่นพ่อเลยวุ้ย” ...






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น