บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

เข้ากรงใหญ่ [03]


ใน 2 บทความแรก ผมได้เล่าไปแล้วว่า ขณะที่ตำรวจเชิญมาโรงพัก  ลุงคนหนึ่งก็ให้ข้อหาเพิ่มว่า “ไอ้นี่แหละ แทงผมเมื่อคืน”  ทำให้ผมโวยกับตำรวจอีก 

บรรดาสมาชิกในกรงขัง จึงชอบขี้หน้าผมขึ้นมาทันที

เมื่อผมเข้าไปแล้ว พร้อมสัมภาระ คือ เป้ทหาร 1 ใบ  วัยรุ่นสมัยก่อนเข้าฮิตกัน  เราต้องไปหาซื้อที่ตลาดตาคลี 

ตอนนั้น ทหารอเมริกันยังมีอยู่ในเมืองไทย  หาซื้อได้ง่าย

ในเป้ทหารดังกล่าว มีหนังสือโป๊เพียบ เป็นสิบยี่สิบเล่ม  ผมตั้งใจจะเอาไปแจกเพื่อนที่หมู่บ้าน แต่ยังไม่ทันถึงบ้าน ต้องมานอนโรงพักเสียก่อน

ผมเข้าไปแล้ว ก็ไปหามุมสงบเงียบนั่งอยู่  ในใจก็คิดว่า เดี๋ยวไอ้พจน์มันต้องไปบอกแม่ผมที่ตลาดเอง  ซึ่งผมคิดผิดไปมากเหมือนกัน

ไอ้พจน์มันไปบอกเหมือนกัน แต่มันไปอีกวันหนึ่ง หรือยังไงก็ไม่ทราบ แต่มันไม่ได้รีบไปบอกอย่างที่ผมคิด 

มันไปเที่ยวกับแฟนมันก่อน

ที่ๆ ผมไปนั่งสิงสถิตอยู่นั้น อยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตู  ถ้าหันหน้าเข้ากรงขัง ผมนั่งอยู่ด้านซ้ายมือของประตู ผมนั่งติดข้างฝาเลย เพราะ มันว่างอยู่ที่เดียว

นั่งได้ไม่ถึง 5 นาที  ผมเห็นว่า ทางฝั่งขวาของประตู มีเสียงเถียงอะไรกันพึมพำ  สักพักสมาชิกท่านหนึ่งก็ลุกขึ้นเตะสมาชิกอีกท่านหนึ่ง เข้าที่หน้า ดังสนั่น

ไอ้คนเตะมันยืน  ไอ้คนถูกเตะมันนั่ง ฟันกระจายออกมาเห็นๆ ...... เลือดกระจายตามมาด้วย...

ทุกคนในห้องเงียบกริบ  ไม่ได้ใครถาม ไม่มีใครห้าม  ผมนึกในใจ “ในคุกนี่ มันโหดจริงโว้ย”  ตำรวจก็ไม่เห็นให้ความสนใจอะไร

อยู่ไปอีกพักหนึ่ง มันก็อดคุยกันไม่ได้  ตอนนั้นก็เริ่มทำความรู้จักกัน  ไอ้ 2 ตัว คนเตะกับคนถูกเตะนั้น ก็หันหน้ามาคุยกันกะหนุงกะหนิงกันแล้ว

ผมแปลกใจเหมือนกัน อะไรวะ  เมื่อกี้เหมือนจะฆ่ากันตาย แป๊บเดียวดีกันแล้ว

ซักบ่ายๆ ไอ้พจน์ก็โผล่หน้ามา พร้อมกับซื้อของกินมาฝาก แล้วบอกว่า “เดี๋ยวจะหาทางไปบอกทางแม่ผมให้

ได้ของกินมาแล้ว  ผมก็แจกหมดทั้งตะราง  

รู้สึกในตอนเย็นๆ จนถึงกลางคืน ของกินมาอีกเพียบ จากคนในหมู่บ้าน ได้ของกินมาอีก ผมก็แจกเพียบทั้งตะรางอีก  ไม่ได้เก็บไว้เลย 

หนังสือโป๊ก็มอบให้ห้องสมุดในกรงขังเลยทั้งหมด  ใครจะเอาไปทำอะไรก็ไป  ห้องสมุดมันไม่มีหรอก  บรรดาสมาชิกก็เก็บไว้คนละเล่ม สองเล่ม

ถึงตอนกลางวัน และตอนเย็น  ผมต้องได้กินข้าวขาว  ก็คือข้าวราดแกงจากร้านข้างๆ โรงพัก เพราะ ยังเป็นผู้ต้องหาอยู่ 

ส่วนบรรดาสมาชิกท่านอื่นๆ ต้องกินข้าวจากคุก

ผมเกิดมาเป็นลูกแม่ค้า ถึงจะไม่ร่ำรวยอะไร แต่ไม่เคยขาดของกิน ก็แม่ขายของ เราก็กินกันเปรมอุรา 

องุ่นชั้นดีๆ ราคาแพงๆ  ผมนั่งเกาะเข่งกินเลย ว่าอย่างนั้นเถอะ  ผมก็เลยบริจาคข้าวขาวออกไป ใครจะกินก็กิน  ผมขอไปกินข้าวคุกแทน

ข้าวของคุกนี่ ต้องกินอย่างผู้ดีที่สุด จะมาสวาปามแบบลูกศิษย์วัดไม่ได้  ไม่อย่างนั้น ฟันฟางจะไม่มีเหลือ

เท่าที่จำได้มันมี “แกงส้มผักบุ้ง”  หมูถ้าจะมีก็คือวิญญาณของมัน  เนื้อมันไม่ได้มาด้วย 

สมาชิกในกรงจะต้องไปหิ้วออกมาจากข้างนอก เอามาจากเรือนจำจังหวัดชัยนาท ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน  ข้าว 1 กระแป๋ง  แกงส้มผักบุ้ง  1 กระแป๋ง  [กระแป๋งคือ ถังน้ำสังกะสี]

น้ำของแกงส้มผักบุ้งดำพอๆ กับ น้ำถูบ้านของผมนั่นแหละ  อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผักบุ้งจริงๆ

เวลากินทั้งหมดก็ต้องมากินรวมกัน   ไอ้ตัวที่กินข้าวขาวของผมหมดแล้ว มันยังไม่อิ่ม มันก็สามารถมากินได้อีก

ขณะที่จะตักข้าวเข้าปากนั้น เพื่อนสมาชิกเตือนด้วยความหวังดีว่า  กินให้ดีๆ นะมึง ระวัง “กับระเบิด”  

ฟังครั้งแรก ผมก็งงเหมือนกัน อะไรของมึงวะ “กับระเบิด

ข้าวของคุกเป็นข้าวแดง ไม่ได้ขัด ดังนั้น มันจึงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยก้อนกรวด ก้อนเล็กๆ เป็นจำนวนมาก  จนไม่สามารถเอาออกไปจากจานข้าวก่อนได้

ไอ้ก้อนกรวดก้อนเล็กนี่แหละคือ “กับระเบิด”  เมื่อตักข้าวเข้าปากแล้ว  ต้องค่อยๆ เคี้ยว  เมื่อพบแล้ว ก็ค่อยเอามาจากปาก

ผมกินข้าวช้าที่สุดในชีวิตของผมก็คราวที่ติดตะรางที่ชัยนาทนั่นแหละ  ประมาณ 6- 7 มื้อ ผมก็กินข้าวคุกตลอด 

ที่นี้มาอธิบายที่ว่า เมื่อผมได้ของกินมาแล้ว ไปแจกทั้งตะรางนั้น เป็นยังไง

คราวที่ผมไปติดกรงใหญ่คราวนั้น  ส้วมของกรงใหญ่มันตัน ใช้ไม่ได้  กรงใหญ่จึงไม่ใส่กุญแจเหมือนกรงอื่นๆ

ดังนั้น  ผมจึง “แรด” ไปคุยทุกกรง จำได้ว่า  กรงทางด้ายซ้ายมือเป็นผู้หญิงอาชีพพิเศษ ทางขวามือเป็นพวกทรงเจ้า แต่เป็นผู้หญิง

มีของกินก็ไปแจกพวกนั้นด้วย

มีคนด่าระบบยุติธรรมของประเทศไทยเรา “คุกมีไว้สำหรับขังคนจนกับหมา” นั้น  ค่อนข้างจะเป็นความจริง

พวกที่ติดตะรางอยู่นั้น  ไม่มีเงินประกันบ้าง ไม่มีเงินค่าปรับบ้าง ฯลฯ จึงต้องจำเป็นต้องติดตะรางแทน  อาหารการกินจึงไม่สมบูรณ์อะไรนัก บางคนไม่มีญาติอยู่ใกล้ๆ เลย

การที่ผมไปติดตะราง  มีของกินอะไรมา  แจกหมด ไม่ถือเนื้อถือตัว  พวกนั้นรู้ว่า ผมเป็นครู  พวกนั้นจึงชอบผมมาก

ติดตะรางหนนี้ ได้ความรู้ทางไสยศาสตร์มาเยอะมาก  คนที่นั่งติดผมเลย โดนคดีปล้น  มันเก่งไสยศาสตร์มากเลยทีเดียว 

มันเล่าให้ฟังหลายเรื่อง เช่น เรื่องนางตานี เป็นต้น  เวลามันเริ่มเรื่องมันจะว่า “ไอ้โต้ง มึงอยากมีเมียเป็นนางตานีไหม

ผมก็ตอบไปว่า “เฉพาะคนกูก็จะตายแล้ว ผีไม่เอาหรอก”  แต่มันก็เล่าให้ฟัง 

ผมก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง  พอมีเวลา “แรด” ไปคุยกับป้า ที่เป็นคนทรงเจ้า ก็ถามว่า ที่ไอ้นั่นมันเล่าให้ฟัง มันจริงไหม  ป้าก็ว่าเป็นจริงได้

พวกนี้ มันจะมีสำนวนอยู่อย่าหนึ่งคือ “เขาว่า”   เราก็อดจะถามกันไม่ได้ว่า “ไปโดนคดีอะไรมา”  ผมในฐานะน้องใหม่ก็ถามไปทุกคน

ทุกคนก็จะบอกว่า “เข้าว่า......”  ใหม่ผมก็ฟังเฉยๆ พอสนิทกันมากๆ  ผมก็ถามว่า “กูถามมึงจริงๆ เหอะ ที่เข้าว่า.... มันจริงหรือเปล่า

ไอ้พวกนั้นมันก็จะหัวเราะแหะๆ แล้วสารภาพ “จริงทุกคดี”

คนติดคุกติดตะรางนี่ จะต้องสะอาดมากๆ  คนไหนสูบบุหรี่จะต้องไปสูบในส้วมหรือหน้าส้วมโน่น  ขี้บุหรี่ห้ามตกลงบนบริเวณที่ใช้นอนเป็นอันขาด

พวกนี้จะกลัวพวก “เรือด” เป็นอย่างยิ่ง  เพราะ ถ้ากัดแล้ว มันจะทำให้เกิดเป็นผิวหนังไปกันใหญ่โต  เงินก็ไม่มีรักษาด้วย

ซี้ของผมบรรยายว่า “เรือด” ในตะรางมันฉลาดมาก  ในขณะนี่พวกติดตะราง ทำความสะอาดบริเวณนอนอย่างดีเยี่ยม  ตามร่องไม้ต่างๆ จะได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี

คุณ “เรือด” มันสามารถไต่ไปที่เพดาน  แล้วทิ้งดิ่งมาที่หน้าอกคนนอนได้  เอากะมันซิ...

โดยสรุป

เมื่อถึงวันจันทร์ผม 3 คนก็ไปขึ้นศาล  ศาลสั่งปรับ แล้วก็แยกย้ายกันไป  ผมก็กลับมาสอนหนังสือที่โรงเรียน

ผมไปถึงโรงเรียนวันอังคาร  ครูใหญ่ถามว่า “เมื่อวานไปไหนมา”   ผมก็ตอบว่า “ไปติดคุกมา

ครูใหญ่ก็ตกใจ ซักถามเรื่องราว  ครูใหญ่กลัวว่า จะต้องออกจากครู 

เรื่องนี้ เป็นคดีลหุโทษ  ตอนเกิดเรื่อง ผมยังเป็นเยาวชนอยู่เลย  จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่

สำหรับคดีแถมมาที่ว่า “ไอ้นี่แหละ แทงผมเมื่อคืน”  ที่ลุงคนท้ายเมืองบอกตำรวจนั้น ตำรวจเขาไม่เชื่อว่าเป็นผม 

เนื่องจากถูกจับแล้ว ผมก็ต้องบอกว่า “เป็นครู” เพิ่งมาจากลพบุรี  ตำรวจเขาเชื่อผมมากกว่า จึงไม่โดนคดีนั้น

ในความเป็นจริง  ลุงคนนั้น ท่านถูกแทงจริงๆ  คนแทงคือ “ไอ้ต๊อก”  ตระกูลไก่เหมือนกับผม  บ้านผมมี “โต้ง”, “อู”, “แจ้”  

ส่วนบ้านไอ้ต๊อกมี “ต๊อก” กับ “อู

ทั้งสองตระกูลไก่นี้  อันธพาลทั้ง 2 ตระกูล  ลุงแกก็เลยสับสน

อีกหลายปีต่อมา ลุงคนที่ว่าก็มาขอโทษผม บอกว่าจำผิดคนไป  ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร  ถึง ณ วันนี้ “ไอ้ต๊อก” ก็ตายไปแล้ว  ลุงคนนั้นก็ตายไปแล้ว  ไม่รู้ว่าจะตามไปแทงกันในนรกอีกหรือเปล่า

นั่นเป็นการไปติดตะรางหนสุดท้ายของผม 

ผมได้เข้าไปเดินเล่นในโรงพักอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้เข้าไปในกรง เพราะ เพื่อนที่เรียนปริญญาเอกคนหนึ่งชื่อ “พ.ต.อ. พงษ์นคร นครสันติภาพ” ชวนไปเที่ยวโรงพักที่ท่านทำงาน

เห็นพวกติดตะรางแล้ว นึกถึงอดีตของตัวผมเองเหมือนกัน  สงสารก็สงสารพวกนั้น แต่ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน

กรรมใครกรรมมัน..






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น