บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ไอ้โต้ง นี่เห็นไหม กูเหนียว


คนที่พูดว่า “ไอ้โต้ง นี่เห็นไหม กูเหนียว” คือไอ้แก้ว เพื่อนร่วมแก๊งอันธพาลของผมอีกคนหนึ่ง

มันพูดแล้ว ก็ยื่นหัวของมันมาให้ผมดู  มันเพิ่งไปโดน เขาเอาขวดอะไรก็ไม่รู้ สันนิษฐานว่าเป็นขวดน้ำอัดลม ฟาดกะบาลมา

ผมดูแล้ว เออ... มันก็เหนียวจริงๆ มีแค่รอยนิดๆ บนหัวของมันเท่านั้น  ผมหัวเราะ.. แล้วก็บอกมันว่า “กูบอกมึงแล้ว อย่าวิ่งตามเขาไป” 

นี่เป็นการเตือนครั้งที่ 2 ของผมที่มีต่อไอ้แก้ว ที่เป็นความจริงตามคำเตือน  ผมคงเตือนมันหลายครั้งหลายหน แต่ที่จำได้แม่นๆ ก็ 2 ครั้งดังกล่าว

เราต้องมาดูประวัติของไอ้แก้วกันก่อนว่า มันมีความเป็นมาอย่างไรบ้าง

ไอ้แก้วมันเป็นลูกหมอสิทธิ์  หมอสิทธิ์แกเป็นเสนารักษ์มาก่อน แล้วมาเปิดร้านขายยา ฉีดยา ฯลฯ หมู่บ้านของผม ถ้ามีโรคภัยไข้เจ็บก็มาหาหมอสิทธิ์นี่แหละ

ถ้าอาการหนักหนาสาหัสถึงจะไปโรงพยาบาลกัน

หมอสิทธิ์แกมีวิธีการฉีดยาที่เสียวสยองสำหรับผมมาก  เมื่อเห็นเหตุการณ์นั้นแล้ว ผมไม่ยอมให้หมอสิทธิ์ฉีดยาผมเลย ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไร 

ผมจะไปให้หมอล้ำฉีด  หมอล้ำท่านเป็นอนามัย ท่านมาอยู่ตลาดบ้านผมภายหลัง

จำได้ว่า “ไอ้เล็ก” ลูกอี้จุ่นมันเป็นไข้  ในฐานะที่ผมเป็นญาติผู้พี่ ก็ตามไปดูในห้องฉีดยาได้  หมอสิทธิ์ถือเข็มฉีดยาด้วยมือขวา  นิ้วโป้งกับนิ้วชี้มือซ้าย ก็ทำหน้าที่ให้ผิวสะโพกตึงขึ้น

แล้วแกก็ “พุ่งเข็มฉีดยา” ลงไปที่สะโพกของไอ้เล็กอย่างแม่นยำ  มือขวาของแกทำหน้าที่ได้ดีมาก คือ พุ่งตามเข็มไปด้วย

เมื่อจับสลิงก์ได้แน่นแล้ว หมอสิทธิ์จึงเดินยา  เป็นอันเสร็จขั้นตอน

ผมเองเมื่อโตขึ้นมานั้น  ถือว่าเป็นคนใจถึงมากถึงมากที่สุด  ขนาดว่า ไปบริจาคเลือด เข็มใหญ่ๆ ปานประหนึ่งเข็มฉีดควายนั้น ผมสามารถมองดูตอนพยาบาลแทงเข็มขาไปในแขนได้

ดูแบบเฉยๆ ไม่เสียวอะไรทั้งสิ้น  ผมก็ยังอดเสียวสยองวิธีการฉีดยาของหมอสิทธิ์ไม่ได้  รู้สึกเสียวสยอง มาจนกระทั่งทุกวันนี้

ไอ้แก้วเมื่อโตเป็นวัยรุ่น หมอสิทธิ์ทำห้องให้มันอีกห้องหนึ่ง อยู่ติดประตูวัด ติดถนนเลย ขอให้ดูแผนที่ด้านบน

ตลาดบรมธาตุจะมีลักษณะเป็นแถว 2 แถว  ระหว่างกลางนั้น จะมีตลาดอยู่ เดี๋ยวนี้รื้อไปแล้ว สร้างศาลาเล็กๆ ขึ้นมาแทน

ห้องของไอ้แก้ว เป็นทำเลที่เหมาะสำหรับเป็นที่ทำการของแก๊งอันธพาลเป็นอย่างยิ่ง มันอยู่ศูนย์กลางเลย

ดังนั้น บางครั้งบางคราวห้องไอ้แก้ว จึงเป็นที่รวมของเสือ สิงห์ กระทิง แรดไปโดยอัตโนมัติ  บางคราวก็รวม “เหี้ย” เข้าไปด้วย อย่างที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้

วันนั้น มี “เหี้ย” เข้าไปรวมตัวอยู่ 5 คน คือ อ๊อด (หนิท), ไอ้แก้ว, อ๊อด (มินท์), เปี๊ยก (เถิม), แล้วก้อผม

ห้องไอ้แก้วนี้ เป็นคลังแสงของพวกเราด้วย ระเบิดทุกชนิดในสงครามเวียดนาม ไปหาชมได้ที่ห้องไอ้แก้วดังกล่าว

ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเสนอไอเดียขึ้นมาว่า “ไปหาไก่มากินเหอะ” ช่วงนั้น จำได้ว่า เป็นช่วงบ่ายๆ แล้ว

ที่ว่าไปหาไก่มากินนั้น ไม่ใช่ไปขอซื้อเขา หรือจะไป KFC เพราะ มันไม่มีร้านขายแบบปัจจุบันนี้  แต่ไปขโมยไก่วัดมากิน  ผมถึงได้เปลี่ยนชื่ออันธพาลในวันนั้น เป็น “เหี้ย”  ก็คือ “เหี้ยกินไก่” นี่แหละ

แหล่งขโมยไก่ก็คือ “ฟาร์มไก่” ในภาพด้านบน

ในความเป็นจริงมันไม่ได้มี “ฟาร์มไก่” อะไรหรอก  แต่พระกับลูกศิษย์เขาเลี้ยงไว้หลายรุ่น  คำว่า “หลายรุ่น” นั้น  มันเป็นอย่างนี้

พระกับลูกศิษย์เขาก็จะไปหาไก่มาเลี้ยงตั้งแต่ตัวเล็กๆ  พอโตขึ้นเป็นไก่รุ่นกระทง เนื้อมันกินได้อร่อยดีแล้ว  พวก “เหี้ยกินไก่” ก็จะไปลักมากินเกือบหมดรุ่น

แต่พระกับลูกศิษย์ก็ยังไม่คิดอะไร ก็ไปหามาเลี้ยงอีก  พอโตขึ้น พวก “เหี้ยกินไก่” ก็ไปลักมากินอีก เป็นวัฏจักรแบบนี้

เมื่อมีคนเสนอไอเดียอันบรรเจิดออกมาแล้ว คือ อ๊อด (หนิท) กับ ไอ้แก้ว ซึ่งมีความชำนาญในเรื่องขโมยไก่เป็นอย่างยิ่ง  จึงออกไปทำหน้าที่

 “เหี้ย”  อีก 3 ตัวก็นอนรออยู่ในห้องไอ้แก้วนั่นแหละ

วันนั้น บอกตรงๆ ว่า ผมไม่ได้คาดหวังว่า จะได้กินไก่อะไรเลย  มันอยากจะทำอะไรก็เรื่องของพวกมัน ขี้เกียจขัดคอ

ที่ว่าไม่ได้คาดหวังนั้น  ไม่ใช่ดูถูกฝีมือของ ไอ้อ๊อด (หนิท) กับ ไอ้แก้วด้วย  ไอ้ 2 ตัว ฝีมือด้านขโมยไก่ของมันอยู่ในขั้นสุดยอดอยู่แล้ว

แต่มันเคยขโมยแต่ตอนกลางคืน  นี่มันกลางวันแสกๆ ตอนเที่ยงๆ ใกล้จะบ่ายแล้ว  มันจะไปขโมยมาได้อย่างไร  โดยไม่มีคนเห็น

คำว่า “ขโมย” นั้น หมายถึงว่า  “ไปเอาของคนอื่นมา โดยเจ้าของเขาไม่รู้ไม่เห็น”  นี่เป็นคำจำกัดความของพวกผม

แล้วผมก็ต้องแปลกใจที่ ไม่นานนักไอ้ 2 ตัวนั่น โผล่ยิ้มแป้นเข้าห้องมา  ในถือไอ้แก้วถือถุงกระดาษใบเบ้อเริ่ม  ในถุงมีไก่ 1 ตัว  ก็ไก่วัดนั่นแหละ

ไอ้ 2 ตัวนี่มันสุดยอดจริงๆ ตอนมันออกไป มันไม่มีถุงกระดาษไปด้วย

ในเมื่อแผนการขั้นแรกสำเร็จไปแล้ว  ขั้นตอนต่อไปก็คือ จะเอาไก่ไปทำที่ไหน  บ้านไอ้แก้วนั้น เรามีสิทธิเข้าได้เฉพาะห้องไอ้แก้วเท่านั้น  ห้องอื่นๆ ห้ามแตะต้องเด็ดขาด

ที่ประชุมของพวก “เหี้ยกินไก่” สรุปได้ว่า ไปทำที่แพไอ้เปี๊ยก (เถิม) เพราะ แพไอ้เปี๊ยก (เถิม) เราสามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับห้องครัวได้ตามสะดวก

ที่จริงไอ้เปี๊ยก (เถิม) นี่เป็นรุ่นพี่ของพวกผม น้องสาวของไอ้เปี๊ยก (เถิม) เรียนห้องเดียวกับผม แต่ผู้ชายนั้น ไม่ค่อยเรื่องมากเรื่องอายุ  ห่างกัน 4- ปี ถือเป็นรุ่นเดียวกันได้หมด

ที่นี้ แพของไอ้เปี๊ยก (เถิม) มันอยู่ที่แม่น้ำเจ้าพระยา  คำว่า “แพ” ก็บอกให้เห็นอยู่ชัดๆ พ่อของไอ้เปี๊ยก (เถิม) ก็คือ ลุงเถิม ท่านทำงานบนเขื่อนบรมธาตุ

ตามแผนที่ด้านบน  มันอยู่กันคนละฝั่งตลาด  ปัญหาก็คือ จะเดินทางไปทางไหน 

ผมในฐานะ “ขงเบ้ง” ของกลุ่ม “เหี้ยกินไก่”  ในวันนั้น แนะนำว่า ให้อ้อมไป  คือ อ้อมไปทางวัดก็ได้ หรืออ้อมไปบนเขื่อนก่อนก็ได้  ตามหลักการของ Slow but sure.

หนทางอ้อมมีหลายทางมาก คือ ยังมีทางแยกย่อยได้อีกเยอะ เพื่อจะหลบสายตาของชาวตลาดนั่นแหละ

ปรากฏว่า ผลคะแนนโหวต ผมแพ้ขาด  “ไอ้เหี้ยกินไก่”  4 ตัวนั่น มันบอกว่า เดินผ่านตลาดไปนั่นแหละ เร็วดี

ขนาดผมบอกว่า มึงจะรีบเร็วไปไหน ไม่ใช่ว่าไปถึงแพไอ้เปี๊ยก (เถิม) แล้วจะกินไก่ได้เลย มันก็ต้องฆ่าก่อน แล้วต้องทำอีก ต้องย่างอีก

ไม่มีใครฟังคำเตือนของผม........

บรรดา “เหี้ยกินไก่”  4 ตัวนั่นก็เริ่มเดินออกไปเลย  ผมนั้นไม่รู้ว่า มี sense จึงไม่ยอมเดินไปกับพวกมัน  แต่เอ้อระเหยลอยชาย ออกช้าๆ เดินตามหลังพวกมันไป

ทิ้งกลุ่มพวกมันให้เดินล่วงหน้าไปก่อน มากเหมือนกัน

พอบรรดา “เหี้ยกินไก่” 4 ตัวนั่นเดินไปถึงตลาดแล้ว  ตรงนั้นมี 4 แยกเล็กๆ อยู่หน้าร้านกาแฟไหวพอดี  

ไก่ชะตาขาดตัวนั้น มันคงรู้ตัวเหมือนกันว่า ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง มันจะต้องถูกเชือดแน่ๆ มันก็ดิ้นจนกระทั่งถุงกระดาษขาด

ตัวไก่มันร่วงลงมาถึงพื้น ตีปีกพึ่บพับๆ  จำไม่ได้ว่า มันร้องหรือเปล่า  ผมเห็นไอ้แก้วคนถือถุงยืนหน้าตาเหรอหราอยู่

คนทั้งตลาดหันไปมองไอ้แก้วเป็นตาเดียว

เมื่อผมเห็นเหตุการณ์ดังนั้น ผมก็เลี้ยวไปนั่งคุยกับแม่ผมที่ในตลาด  แม่ผมมองด้วยสายตารู้ทันว่า ผมอยู่ร่วมกระบวนการกับ “เหี้ยกินไก่” แน่ๆ  แต่ผมก็ทำไม่รู้ไม่ชี้

อย่างที่บอกว่า ตรงนั้นเป็นสี่แยกเล็ก ไอ้อ๊อด (หนิท), ไอ้อ๊อด (มินท์) ไอ้เปี๊ยก (เถิม) ต่างก็สลายตัวไปตามแยกต่างๆ อย่างรวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม

ทิ้งให้ไอ้แก้วยืนเด๋อด๋าอยู่คนเดียว

ผมนึกในใจว่า ไอ้แก้วมันจะบ้าไล่จับไก่กลางตลาดหรือเปล่า  คือ ถ้าพวกเราเดินอ้อมไปทางอื่น แล้วไก่มันล่วงมาแบบนี้  “เหี้ยกินไก่” ทั้งหมดต้องวิ่งไล่จับไก่กันแน่

ปรากฏว่า ไอ้แก้วมันฉลาดพอตัว มันปล่อยให้ไก่ ซึ่งชะตาไม่ขาดแล้ว ไปตามเรื่องตามราวของมัน มันก็รีบสลายตัวไปตามคนอื่นไป

เรื่องนี้เป็นที่ฮือฮาของชาวตลาดร้านถิ่นเป็นอย่างยิ่ง เพราะ “ไอ้แก้ว” ในสายตาของชาวตลาดร้านถิ่นนั้น  มันเป็นเด็กดี เด็กเรียน เด็กขยัน

ไม่มีประวัติด่างพร้อยอย่างพวก “เหี้ยกินไก่” อีก 4 ตัวที่เหลือ

นั่นเป็นการเตือนไอ้แก้วครั้งที่ 1 ของผม...............






2 ความคิดเห็น:

  1. ชอบมากครับเรื่องนี้อ่านแล้วสนุกน่าคิดตาม อาจารย์เล่าเรื่องได้เห็นภาพมากๆครับ

    ตอบลบ
  2. ก็ติดตามอ่านต่อไป รับรองว่าเป็นเรื่องจริงตามนั้น

    ตอบลบ