บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ต่อยกับน้องไอ้เป้า




ชีวิตตอนนั้น ผมเรียนจบวิทยาลัยครู ได้วุฒิ ป.กศ. ต้นมาแล้ว  แต่ยังรอสอบบรรจุอยู่ ก็ใช้ชีวิตวัยรุ่นตอนปลาย ไปกับเพื่อนอย่างเต็มที่  ก่อนจะเข้าวัยผู้ใหญ่

หนที่จะเล่าให้ฟังนี้  เป็นเรื่องต่อยกับน้องไอ้เป้า  น้องไอ้เป้านี่ ผมจำชื่อมันไม่ได้แล้ว ต่อยกับมันครั้งเดียว และไม่ค่อยน่าจดจำนัก

ผมจำไอ้เป้าได้ ก็เพราะว่า ต่อยกับมันเหมือนกัน  บ้านไอ้เป้ามีลูกผู้ชาย 2 คน ผมโชคดีได้ต่อยครบเลย

ที่ผมจำไอ้เป้าได้ เพราะ การต่อยหนนั้น ทำให้ติดตะรางด้วย ก็เลยจำได้

วันที่เกิดเรื่อง  ผมไปเฝ้าไอ้ปิที่โรงพยาบาลชัยนาท  จำไม่ได้แล้วว่า ทำไม ไอ้ปิถึงต้องไปนอนโรงพยาบาล  สงสัยว่า น่าจะไปผ่าไส้ติ่ง

โรงพยาบาลชัยนาทนี่ อยู่ติดกับโรงเรียนชัยนาทพิทยาคม โรงเรียนสมัยมัธยมของผม เป็นโรงเรียนประจำจังหวัด  ตอนก่อนโน้นชื่อโรงเรียนวิชัยบำรุงราษฏร์ 

หน้าโรงเรียนวิชัยบำรุงราษฎร์ แค่ข้ามถนนมีร้านเพลย์บอย  เป็นร้านตัดเสื้อ  สมัยโน่น เราไม่ค่อยนิยมซื้อเสื้อสำเร็จรูปแบบนี้   

มันมีขายแล้ว แต่ค่อนข้างแพง เราจึงนิยมไปตัดเสื้อกัน

ร้านเพลย์บอยอยู่ที่ท่ารถชัยนาท  ท่ารถชัยนาทนี่ก็อยู่หน้าโรงเรียนเหมือนกัน เรียกว่า ออกจากโรงเรียนก็ถึงท่ารถเลย

คืนที่ไปเฝ้าไอ้ปินี่ ผมไปกับไอ้อ๊อดหนิท  พ่อมันชื่อสนิท แม่ชื่อถนอม  พี่มันชื่อไอ้อิ๊ด ตอนนี้ก็เป็นเพื่อนสนิทของอยู่ 

ไอ้อ๊อดหนิทเป็นมะเร็งตายไปหลายปีแล้ว

ในหมู่บ้านมีคนชื่ออ๊อด 2 คน  อีกคนก็คือ อ๊อดมินทร์  เพื่อนซี้เพื่อนตายของผมเอง แต่ยังไม่ตาย

ความจริงเพื่อนในหมู่บ้านของผม ก็เป็นเพื่อนซี้เพื่อนตายกันทั้งนั้น แต่การที่จะไปไหนมาไหนด้วยกัน  ไปตีหัวหมา ด่าแม่คนคนจีนด้วยกัน  ผมไปกับอ๊อดมินทร์มากกว่าคนอื่น

จำได้ว่า ตอนนั้นมืดแล้ว  ผมก็ชวนไอ้อ๊อดหนิทไปร้านเพลย์บอยเพื่อไปถามว่า เสื้อที่สั่งตัดไว้เสร็จหรือยัง 

จากโรงพยาบาลเดินไปนิดเดียวก็ถึง ไม่น่าจะเกิน 500 เมตร

วันนั้นผมพกดาบปลายปืนไปด้วย  คือ พวกจิ๊กโก๋ชัยนาทมันมีเยอะ และชอบรุมชาวบ้านเขา เข้าเมืองมันก็ต้องพกอาวุธกันบ้าง

ครั้งที่ต่อยกับไอ้เป้า ซึ่งจะเล่าต่อไปข้างหน้า  ผมพกลูกซองสั้นเถื่อนเสียด้วยซ้ำ

วันนั้น ก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรที่จะเตือนผมว่า ความซวยกำลังจะมาเยือน  ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี

เมื่อผมไปถึงร้านแล้ว เข้าไปถามเจ้าของร้านแล้ว ปรากฏว่าเสื้อยังไม่เสร็จ  ผมก็จะกลับไปโรงพยาบาล 

ออกจากร้านปุ๊บ  ผมก็เห็นพวกจิ๊กโก๋ชัยนาท 10 กว่าคนยืนอยู่หน้าร้าน  ผมหันไปมองหน้าไอ้อ๊อดหนิท ส่งสายตาบอกมันว่า “ความซวยมาเยือนซะแล้ว

ไอ้อ๊อดหนิทนี่ มันไม่ได้เรียนหนังสือ คือ จบแค่ ป.4  แล้วก็เป็นจิ๊กโก๋อยู่แถวบ้าน  มันจึงไม่มีศัตรูอยู่ที่ชัยนาท

ผมเองเรียนหนังสือที่ชัยนาท  ตีรันฟันแทงกับพวกจิ๊กโก๋ชัยนาทมามากต่อมาก  แต่ก็ไม่เคยต่อยกับน้องไอ้เป้ามาก่อน  เหตุผลจะไปบอกที่ท้ายบทความ  

ผมก็สงสัยนิดๆ ว่า ทำไมน้องไอ้เป้ามันถึงมารอมีเรื่องที่หน้าร้าน ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมผมถึงอยู่ว่า ไอ้พวกนั้นมารอมีเรื่อง... 

คำตอบก็คือ มันเป็นความชำนาญส่วนตัว  ด้วยเหตุผลพื้นๆ พวกมันก็ไม่มารอส่งผมกลับบ้าน หรือมารับไปเลี้ยงแน่ๆ

คำแรกที่น้องไอ้เป้า ซึ่งกำลังทำหน้ายักษ์ถามผม ก็คือ (จำได้เลาๆ)  เพื่อนของผมคนหนึ่ง น่าจะเป็นไอ้อ๊อดมินทร์ “ไปแซวแฟนมัน” 

มันว่าผมไปด้วยในงานนั้น...

ผมสันนิษฐานว่า  น้องไอ้เป๋ามันคงจะกำลังสร้างชื่อเสียงของมัน เพื่อเป็นผู้นำกลุ่ม  มันคงหาเป้าหมายมานานแล้ว 

ผมกำลังพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก บวกกับความซวยมาเยือน จึงกลายมาเป็นเป้าหมายของมัน โดยไม่ได้คาดหมาย

ก็อุตส่าห์มาตอนกลางคืนแล้ว มันยังมามีเรื่องจนได้

ความจริงเรื่องนี้  ถ้าเป็นเหตุการณ์ธรรมดา ผมก็น่าจะปฏิเสธน้องไอ้เป้าไปว่า “ก็กูไม่ได้ทำ”  จะแซวจะอะไร มันก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับกู

แต่การทำแบบนั้น เป็น “อนันตริยกรรมของความเป็นจิ๊กโก๋” เลยทีเดียว  มันคงจะเป็น “ตราบาป” ติดตัวไปตลอดชีวิต

ผมก็เลยถามมันว่า “แล้วมึงจะเอายังไง

น้องไอ้เป้ามันอึ้ง ทึ่ง ไม่ถึงไปเสียวไปพักหนึ่ง มันคงเป็นงงหลายตรลบเหมือนกัน เมื่อได้ยินคำตอบที่ว่า “แล้วมึงจะเอายังไง” จากผม

ผมว่า มันคงคิดมา “ขู่” ผมต่อหน้าพวกของมัน แบบหมาป่ากับลูกแกะ มันคงคิดว่า ผมคงขอร้องมันว่าอย่ามีเรื่องทำนองนั้น  แล้วมันก็จะมีชื่อเสียง กลายเป็นหัวหน้ากลุ่มได้

ปกติเลย ผมไม่ค่อยชอบต่อยเดี่ยวกับใคร เพราะ มันต้องเจ็บตัวแน่ๆ  ขนาดเพื่อนชวนซ้อมมวย ผมก็ยังไม่เอาด้วย เพราะกลัวเจ็บตัวนี่แหละ   

ผมชอบที่จะออกศึกเลย ไม่ต้องซ้อม

แต่วันนั้น สถานการณ์หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อป้องกันการถูกรุม ผมจึงเปลี่ยนจากลูกแกะกลายเป็นหมูป่าเขี้ยวตันขึ้นมา  ผมก็เลยถ้ามันไปว่า “งั้น มึงมาต่อยเดี่ยวกับกู

ตอนที่ผมท้าต่อยเดี่ยวน้องไอ้เป้านั้น ก็เพราะว่า น้องไอ้เป้า มันงงงันไปนาน  พูดไม่ออก บอกไม่ถูก  ถ้าผมไม่ท้าต่อยเดียวกับมันก่อน  เดี๋ยวก็จะกลายเป็นผม 2 คน ไปรุมจิ๊กโก๋ชัยนาท 10 กว่าคนเข้า 

ผมกับไอ้อ๊อดหนิทจึงเดินนำหน้าข้ามถนนเข้าไปในโรงเรียน  พวกจิ๊กโก๋ชัยนาทเดินตามกันมาเป็นพรวน 

วันนั้น ผมนุ่งกางเกงยีนขายาว จึงไม่ค่อยถนัดต่อการต่อยเดี่ยวมากนัก เพราะ มันเตะไม่ถนัด ต้องใช้แต่หมัดอย่างเดียว

ผมตัวสูงกว่าน้องเป้าหลายเซ็นต์เหมือนกัน แต่น้องไอ้เป้าตัวมันหนา  ผมผอมสูง แต่น้องไอ้เป๋าเตี้ยล่ำ ว่าอย่างนั้นเถอะ

พอคนมาพร้อมแถว  ผมก็ควักดาบปลายปืนออกมา แล้วยื่นไปให้ไอ้อ๊อดหนิทเก็บไว้ แล้วพูดดังๆ ว่า “ไอ้อ๊อดกูฝากปืนไว้แป๊บหนึ่ง

ไอ้อ๊อดหนิทก็รับมุข  ไม่พูดไม่จา รับดาบปลายปืนไปเสียบไว้ที่เอว  ไอ้อ๊อดหนิทนี่ มันเป็นคนใจถึงกว่าผมอีก  เมื่อถึงเวลาจะเล่าให้ฟัง 

ไอ้นี่ไม่ค่อยพูด ต่อยหนัก เป็นขโมยมือหนึ่งในชุดวัยรุ่น  บ้านผมมีขโมยตัวพ่ออยู่อีกคนหนึ่ง เป็นคนหมู่บ้านอื่นมาอยู่ภายหลัง

ในโรงเรียนตอนนั้น มันมืดพอสมควร ไม่ได้สว่างไสวจนเห็นหน้ากัน  พอเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ ว่าอย่างนั้นเถอะ

สถานการณ์ก็คล้ายกับการแสดงกลตามงานวัด คือ จิ๊กโก๋มาก็ยืนล้อมเกือบเป็นวงกลม  นักมวยจำเป็น 2 คน ก็อยู่กลาง

ผมเห็นว่า น้องไอ้เป้ามันพร้อมแล้ว ผมก็ต่อยก่อนเลย เพราะ รู้ตัวว่าหมัดไม่ค่อยหนัก

ผมจำไม่ได้ว่า ต่อยกับต่อยกับน้องไอ้เป้าอยู่นานขนาดไหน  แต่ผมเป็นคนที่ว่า เมื่อมีเรื่อง ไม่ยอมเลิกอยู่แล้ว 

กะว่าต่อยจนกว่าจะหมดแรงกันไปข้างหนึ่ง หรือตายกันไปข้างหนึ่งอย่างนั้น  คล้ายสำนวนที่ว่า “กัดไม่ปล่อย”

สักพักหนึ่งน้องไอ้เป๋าบอกว่า “พอแล้ว”  ผมก็พูดสั้นว่า “พรุ่งนี้ กูจะมาใหม่

ผมกลับไปถึงโรงพยาบาลด้วยหน้าถลอกปอกเปิก  เล่าให้ไอ้ปิฟัง  ไอ้ปิขำกลิ้ง...  

เมื่อเห็นหน้าตาของผมในกระจกแล้ว  ผมไปหาพยาบาล เพื่อขอยาหม่องมาทาหน่อย  พยาบาลดุว่า “โรงพยาบาลไม่มียาหม่อง”  ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่า โรงพยาบาลไม่มียาหม่อง

เช้าวันต่อมา  ผมนั่งรถจากบ้านมาด้วยรถคันแรก มาแต่เช้า พาไอ้อ๊อดหนิท  กับไอ้อ๊อดมินทร์มาด้วย  คราวนี้มา 3 คน 

ผมใส่กางเกงขาสั้น สวมรองเท้าผ้าใบ  กะว่าวันนี้จะใช้ตีนให้เต็มที่

บ้านไอ้เป้านี่มันห่างจากท่ารถชัยนาทนิดเดียว  ลงจากรถแล้ว ผมไปยืนรอที่หน้าบ้านมัน แบบพระบิณฑบาตเลยทีเดียว  คือ ยืนเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดาน

สักพัก น้องไอ้เป้ามันเดินออกมา หน้าตาซีดเซียว  มันคงนึกในใจว่า “กูไม่น่าไปหาเรื่องกับไอ้พวกบ้านี้เลย” 

พอมาถึงหน้าบ้าน  มันพูดว่า “กูขอเลิก”  ผมอึ้งกับเซ็งไปพักหนึ่ง  เพราะ ตั้งใจมาเต็มที่ 

พอมันพูดอย่างนั้น  ผมก็เดินออกมาเลย พยักหน้าให้ไอ้อ๊อด 2 ตัวนั้นมาด้วย 

ที่ผมยอมง่ายๆ ก็เป็นเพราะ “แม่ไอ้เป้า” เป็นครูผมเอง  ท่านสอนอยู่ที่โรงเรียนวิชัยบำรุงราษฎร์นั่นแหละ  สอนวิชาสังคม

ผมเองถึงจะเป็นนักเลง เป็นจิ๊กโก๋ขนาดไหน  ผมก็ยังกลัวครูอยู่   ที่ผมไม่เคยมีเรื่องกับน้องไอ้เป้ามาก่อนเลย ก็เพราะมันเป็นลูกครู

แต่มันเสือกมาหาเรื่องก่อน  และรู้ว่า แม่มันก็ไม่รู้เรื่อง ผมถึงต่อยกับมันได้ เพราะ ยังไงๆ พวกผม พวกมันก็ไม่เล่าให้แม่ฟังเรื่องการตีฟันแทงแบบนี้  






2 ความคิดเห็น:

  1. ชีวิตวัยรุ่นบางคนพลาดพลั้งถึงกับไปติดคุกไปติดยาเสพติดหมดอนาคตพ่อแม่แทนที่จะได้พึ่งยามแก่เฒ่ากลับมาเป็นภาระคนแก่ ต้องดูแลลูกแทนที่ลูกจะดูแลพ่อแม่ อ.ดร.มนัสก็เป็นอีกคนที่รอดมาเป็นดอกบัวที่พ้นน้ำเก็บเอามาบูชาพระได้ไม่เป็นบัวที่โดนเต่ากินก็ขออนุโมทนาในบุญของท่านอ.ด้วยนะคะ

    ตอบลบ
  2. บังเอิญว่าสอบบรรจุเป็นครูได้ก่อนที่จะ "ลุย" ไปมากกว่านี้ ผมเป็นครูอายุน่าจะประมาณ 18-19 ปี ยังไม่เกณฑ์ทหาร

    ขนาดเป็นครู ยังต้องมาติดตะรางในเรื่องตีหัวเขาไว้เลย....

    ตอบลบ