บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

เข้ากรงใหญ่ [01]



ในเรื่อง “ต่อยกับไอ้เป้า”  ผมได้เล่าให้ฟังแล้วว่า ผมได้เข้าไปติดตะรางบนโรงพักของสถานีตำรวจภูธรจังหวัดชัยนาท เพราะ ไปต่อยไอ้เป้าต่อหน้าพ่อของมัน ซึ่งเป็นตำรวจ

คราวนั้น ผมค่อนข้างได้สิทธิพิเศษคือ อยู่คนเดียวในกรงเดี่ยวเล็กๆ  ตรงข้ามกรงเดี่ยวของผม เป็นกรงใหญ่ ซึ่งมีสมาชิกอุ่นหนาฝาคั่งพอสมควรที่เดียว ดูอบอุ่นพิลึก 

ในความเป็นจริงแล้ว ผมไม่ได้มีความพิศวาส ที่จะไปเข้ากรงใหญ่นั้นเลย เนื่องจากเคยมีประสบการณ์มาแล้ว

การติดคุก ติดตะรางมันไม่ได้เป็นสิ่งที่คนดีๆ ควรจะเข้าไปอยู่กัน  คนเลวๆ ที่สมควรจะติด มันก็ยังหนีคุก หนีตะรางกันเป็นแถวๆ

อย่างที่เห็นในปัจจุบันชัดๆ ก็เช่น คุณทักษิณ ชินวัตร คุณวัฒนา อัศวเหม ฯลฯ เป็นต้น

แต่ผมก็ได้มีโอกาสไปอยู่ในกรงใหญ่ ของสถานีตำรวจภูธรจังหวัดชัยนาทดังกล่าวแบบเป็นแพคเกจทัวร์ 2 คืน 3 วันมาแล้ว 

การติดตะรางบนโรงพักครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 3 ในชีวิตของผม ครั้งที่สองก็คือ ครั้งที่ต่อยกับไอ้เป้า  ครั้งที่ 1 นั้น ผมไปติดตะรางอยู่ที่จังหวัดลพบุรี

การติดตะรางครั้งที่ 3 นี้ มีสาเหตุสลับซับซ้อนมาก  จะขอเล่าตอนถูกจับไปโรงพักก่อน เรื่องลึกๆ อื่นๆ ค่อยไปว่ากันภายหลัง

ระยะเวลาช่วงนั้นของชีวิต ผมสอบบรรจุเป็นครูได้แล้วที่จังหวัดลพบุรี วันเสาร์-อาทิตย์ถ้าผมไม่กลับบ้าน ผมก็จะไปบ้านเพื่อนที่ชลประทาน สะพาน 7  ใกล้ๆ กับวงเวียนสระแก้ว

ชลประทาน สะพาน 7 นี่  ผมเคยมาเที่ยวหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่ยังเรียนวิทยาลัยครูอยู่ คือ ปิดเทอมก็มาเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้ จนกระทั่งว่า สนิทสนมกับคนทำงานของชลประทานเป็นอย่างดี

คนทำงานชลประทานส่วนใหญ่ ก็ย้ายไปจากจังหวัดชัยนาท รวมถึงไอ้อิ๊ด คุณธงชัย หงส์สวัสดิ์เพื่อนผมด้วย

อยู่มาวันหนึ่ง วันที่ความซวยจะมาเยือนผม  ไอ้พจน์  หรือคุณพจน์ นันใจยะ บ่นๆ ว่าอยากจะไปเยี่ยมแฟนที่ชัยนาท 

ผมได้ฟังมัน งงไปหลายตรลบ ไอ้พจน์นี่ มันเป็นคนจังหวัดตาก  บ้านมันก็อยู่แถวๆ วัดพระบรมธาตุ ชื่อเดียวกับวัดของบ้านผม  แต่อยู่ที่อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก

วัดพระบรมธาตุบ้านตาก บ้านไอ้พจน์นี่ เมื่อเร็วๆ นี้ก็เป็นข่าวฮือฮามาแล้ว ที่ว่า พระเก็บเงินไว้กับวัด มากกว่า 43 ล้าน ไม่ยอมฝากธนาคาร

ไอ้พจน์มันมาทำงานที่ลพบุรี  แล้วดันไปเสือกมีแฟนอยู่ที่จังหวัดชัยนาทได้ยังไง!!! 

มันตอบผมมาว่ายังไง ก็จำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่า แฟนไอ้พจน์มันเป็นน้องสาว “ไอ้หยวก”  ไอ้หยวกมันเป็นจิ๊กโก๋ชัยนาท 

ผมคิดๆ ดูแล้ว ถ้าปล่อยให้มันไปคนเดียว อนาคตคงจะไม่สดใสแน่ๆ  ผมก็เลยยื่นคำขาดกับมันไปตามประสาเพื่อนที่ดีว่า “เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อน

วันที่ผมกับไอ้พจน์มาชัยนาทนั้น  ก็นั่งรถมาจากลพบุรีเลย ยังไม่ได้แวะบ้านผม ก็ไปรอแฟนไอ้พจน์ที่หน้าศาลากลาง 

ที่หน้าศาลากลางจังหวัดชัยนาทนั้น มีสนามกว้างหญ้าใหญ่ไพศาล  อยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาเลย

รออยู่พักหนึ่ง  ผู้หญิงยังไม่มา แต่ตำรวจมาก่อน   ตำรวจมาขอร้องผมด้วยความสุภาพว่า ขอให้ไปติดตะรางในข้อหาทำร้ายร่างกายหน่อย

ตามหลังตำรวจมาเป็นโจทก์ ที่เดินมาให้กำลังใจตำรวจ หรือเดินมาสมน้ำหน้าผมก็ไม่ทราบ  ผมก็เลยรู้ว่า เป็นคดีไหน  เพราะ ทำร้ายร่างกายคนมาเยอะมาก จนจำไม่ได้ว่าคดีไหน เป็นคดีไหน

อย่างไรก็ดี  จะให้เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ต้องเล่าถึงการติดตะรางครั้งแรกที่จังหวัดลพบุรีเสียก่อน  การติดคุกครั้งนั้น  ไอ้พจน์ก็ติดอยู่ด้วย ถึงทิ้งมันไม่ได้

ถูกตำรวจจับครั้งแรกที่ลพบุรีนั้นถูกจับคดีการพนัน เล่นไพ่รัมมี่  อันที่จริงผมไม่ได้เล่นกับเขาหรอก  มันเล่นห้องที่ผมไปพัก   

เพื่อไม่ให้เสียพลังงาน ผมก็เลยเป็นคนจดแต้มให้พวกมัน

ตอนที่ตำรวจมาจับนั้น ทีแรกตำรวจจะปล่อยแล้ว เพราะ ไม่มีเงินของกลาง แต่ตำรวจบางคนตาดีมาก ไปเห็นกัญชาที่ไอ้หยิกมัน ยำ” ไว้บนเขียง ยังสูบไม่หมด ก็เลยถูกจับด้วยคดียาเสพติด

แต่พอไปถึงโรงพักแล้ว ตำรวจเปลี่ยนเป็นคดีเล่นไพ่อีก เพราะ มันจะได้ค่านำจับ  ท่านว่าร้อยละ 50 เลยทีเดียว

วันนั้น ถูกจับไปทั้งหมด 6 คน มีผม ไอ้หยิก (ท้ายๆ ของชีวิตบวชพระ ตอนนี้มรณภาพไปแล้ว) ไอ้อิ๊ด ไอ้พจน์ อีก 2 คน จำไม่ได้แล้ว

ชลประทานสะพาน 7 บ่อนไพ่ชั่วคราวของผมนั้น อยู่ใกล้กับสถานีตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรีมาก  ไม่รู้ทำไมตำรวจไม่เอาไปไว้ที่นั่น  ดันทะเลือกเอาไปฝากขังที่สถานีท่าหิน ซึ่งอยู่ในเมืองโน่น

สถานีตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรีอยู่แถวๆ วงเวียนพระนารายณ์

ไปถึงโรงพักแล้ว  ตำรวจก็เอาเราไปขังไว้รวมกัน โดยไม่ต้องร้องขอ แต่พอเข้ากรงไปแล้ว เราก็ไม่ได้คุยกันเท่าไหร่ เพราะ มีรุ่นพี่หนึ่งคนอยู่นั้นแล้ว

รุ่นพี่ท่านนั้น ไม่รู้ว่าเป็นบ้า หรือประสาท แกจะบ่นงึมงัมๆ อยู่ตลอดเวลา ตาก็ขวาง มองเหมือนหาเรื่องไปทั่ว

ผมเอง สบตา จ้องตาเพื่อหาเรื่องใครไม่ค่อยเป็นอยู่เวลา  มาเจอสายตาคนบ้านี่ ไม่กล้าสบตาท่านพี่เลย

พวกผม อย่างที่เคยเล่าให้ฟังไปแล้ว ก็นับได้ว่าเป็นพวก เสือ-สิงห์-กระทิง-แรดอยู่เหมือนกัน แต่ทั้งหมดต่างก็มารวมตัวอยู่มุมห้อง 

ให้ท่านพี่ท่านนั้น ครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของห้องกรงไป

ผมนอนไม่เคยหลับเท่าไหร่นัก  หลับๆ ตื่นๆ กลัวท่านพี่ท่านนั้น แกของขึ้น ลุกขึ้นมาบีบคอ  แกบ่นและตาขวางอยู่อย่างนั้นทั้งคืน

ไม่มีใครในกลุ่มของพวกผม กล้าที่จะไปขอให้แกเงียบเสียง  ปล่อยให้แกทำอะไรได้ตามอิสรเสรีจนถึงกระทั่งเช้า

ตอนเช้า ตำรวจย้ายพวกผมไปอยู่ที่โรงพักของสถานีตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรี ข้างๆ วงเวียนพระนารายณ์ เพื่อไปทำเรื่องฟ้องศาล

ทำไม ไม่เอามาขังที่นี่เสียตั้งแต่เมื่อคืนก็ไม่รู้..

อยู่ห้องขังของโรงพักของสถานีตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรีนี่ ค่อนข้างสะดวกสบาย  พวกเพื่อนฝูงก็มาเยี่ยมเยียน ของกินเยอะแยะ

รวมถึงพวกที่เตรียมมาเสียเงินประกัน เสียเงินค่าปรับให้ด้วย

เพื่อว่าท่านผู้อ่านบางท่านจะไม่เข้าใจ  ขออธิบายเพิ่มเติมดังนี้  ชลประทาน สะพาน 7 นี่ เป็นที่หากินของตำรวจมานานแล้ว เพราะ คนในนั้นชอบเล่นไพ่กันมาก

วันดีคืนดีของตำรวจ อยากจะได้ผลงาน ท่านก็จะแวะมาหากลุ่มเป้าหมายในบ้านพักชลประทานนี่แหละ  บังเอิญว่า วันนั้น มันเป็นวันโชคร้ายของพวกผม

ปกติตำรวจไม่ค่อยมาวันจันทร์-พฤหัสฯ  ท่านจะมาวันศุกร์ เพราะ การที่จะต้องติดคุกหลายๆ คืนนั้น ไม่เป็นที่พิสมัยของพวกขาไพ่ 

ท่านก็จะยินดีเสียค่าใช้จ่ายทุกประการให้ตำรวจ เพื่อที่จะได้ประกันตัวออกมา  แต่วันที่ผมถูกจับนั้น ไม่ได้เป็นวันศุกร์ 

คดีไพ่นี้ ตำรวจต้องฟ้องให้เสร็จสิ้นภายใน 24 ชั่วโมง 

ดังนั้น เมื่อพวกผมถูกจับแล้ว  ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของชุมชนนั้น วาทกรรมที่จะไปเอาพวกออกมา ก็จะเริ่มดำเนินการ

พวกก็มาเยี่ยม มาถามว่ามีเงินไหม ถ้าไม่มีก็จะสมควรไปกู้ใครมาก่อน  ของผมนั้น มีลุงอยู่ที่นั่นด้วย ท่านก็เป็นคนออกเงินค่าปรับให้

ตำรวจทำเรื่องอะไรมั่งก็ไม่รู้ เสร็จตอนบ่าย ก็จะเอาพวกผมไปฟ้องศาล  ศาลจังหวัดลพบุรีอยู่ในเมือง 

ผมได้ยินตำรวจบ่นๆ ว่า “รถขนผู้ต้องหาไม่มี หมด.. อะไรทำนองนั้น”  สรุปแล้ว ตำรวจแก้ปัญหาโดยพาพวกผมขึ้นรถเมล์

พวกเรามี 6 คน  ตำรวจจับพวกผมใส่มิโด้คู่ 3 คู่ แขนคนละข้าง จำได้ว่า ผมคู่กับไอ้หยิก  ตรงมิโด้คู่นั้นเพื่อมิให้ประชาชนหวาดเสียว ท่านแนะนำให้เอาเสื้อมาปิดไว้

ผมนึกในใจ ทำไมคนบนรถเมล์มันจะไม่รู้ว่า ไอ้พวกเวรตะไล 6 คน 3 คู่นี่ถูกตำรวจจับมา

อายุผมตอนนั้นอายุประมาณ 17 ปี  กำลังหล่อมาก ถึงมากที่สุด  พวกสาวๆ บนรถเมล์มองกันเกือบทุกคน  

สายตาก็ออกมาในทำนองว่า  รูปร่างหน้าตาก็ดี ไม่น่าเป็นโจร  ถ้าเป็นสมัยนี้ จะฟ้องกรมตำรวจเรียกค่าเสียหาย เสียให้เข็ด..

รถเมล์ไม่ได้วิ่งถึงศาล  วิ่งแค่ป้ายรถเมล์  พวกผมก็ต้องเดินจากป้ายรถเมล์เป็นคู่ๆ อับอายขายขี้หน้าประชาชนอีกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

ไปถึงศาลแล้ว  ท่านก็เอาผมไปขังไว้ที่กรงใต้ศาล  

จะเห็นได้ว่า ผมทำผิดแค่ไปจดแต้มให้เขา โดนคดีเดียวเท่านั้น  แต่ติดตะรางเข้าไป 3 แห่งแล้ว

ห้องขังใต้ศาลนี่..ถึงจะตัวนรกของจริง...

พวกที่มาอยู่ในกรง เพื่อขึ้นศาลนั้น มีสารพัดคดี  คดีหนักๆ จะสังเกตได้ว่า มีโซ่ตรวนขนาดใหญ่อยู่ที่ขา เดินไปไหน มาไหน ก็ต้องยกโซ่ไปด้วย เท่ห์พิลึก

ผู้อยู่ที่คุกใต้ศาลนี่  คดีเล่นไพ่อย่างพวกผมนี่ ไม่ต้องไปสะเออะหน้าพูดจากับใครเลย  จะก้มหน้าก้มตาอยู่เงียบๆ ตามมุม

พวกที่สามารถเดินไป เดินมากร่างได้  มันต้องพวกคดีปล้น คดีฆ่า ...

จะว่าไป ภาพของชีวิตในวันนั้น มันก็ประทับใจพอสมควร  น่าสงสารก็คือ พวกญาติของพวกทำผิดกฎหมายทั้งหลาย

โดยสรุป  พวกผมขึ้นศาลถูกศาลปรับประมาณคนละ 250 บาทหรือไงนี่แหละ  ส่วนผมยังเป็นเยาวชนอยู่ ศาลท่านก็ลดครึ่งราคา

นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของผมในการติดตะรางบนโรงพัก  ประสบการณ์ครั้งนี้ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ 

ไม่เหมือนกับการติดครั้งที่ 3  เพราะอยู่นานและเป็นที่รักของพวกในตะรางทั้งหมด มันจึงสนุกสนานดี






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น