บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

เข้ากรงใหญ่ [02]




วันนี้ มาเล่าสาเหตุของคดีทำร้ายร่างกาย ที่ทำให้ต้องไปเข้ากรงใหญ่ของโรงพักของสถานีตำรวจภูธรจังหวัดชัยนาทกัน

วัดพระบรมธาตุ (วรวิหาร) นั้น เป็นวัดประจำตำแหน่งของเจ้าคณะจังหวัดชัยนาท

ตอนที่ผมเกิดมานั้น เจ้าอาวาส และเจ้าคณะจังหวัดชัยนาทก็คือ พระชัยนาทมุนี (นวม สุตตเถระ) เป็นเจ้าอาวาส

ตามภาพด้านบนเป็นภาพค่อนข้างทันสมัย ตอนผมเป็นเด็กไม่เป็นอย่างนั้น  นอกเขตสีแดงมาทางขวามือคือ ตลาดบรมธาตุ

นอกเขตสีเหลืองไปทางซ้ายมือ เป็นสถานที่ราชการ ซึ่งมาสร้างขึ้นใหม่  เมื่อก่อนนั้น บริเวณดังกล่าวเป็นป่าบ้าง หนองน้ำบ้าง  ส่วนที่เหลือคือ บริเวณของวัดพระบรมธาตุ (วรวิหาร)

หมู่บ้านของผมนั้น มันมีโค้งหักศอกอยู่ด้วย  ชาวบ้านเรียกว่า “โค้งผีสิง” 

ตอนผมเป็นเด็กมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเป็นประจำ อาจจะเป็นถนนเป็นลูกรังด้วย  ไม่ต้องคนที่อื่นหรอก  คนในหมู่บ้านก็ไปหลุดโค้งกันเป็นประจำ

ระยะหลังๆ เมื่อถนนลาดยางแล้ว อุบัติเหตุก็ลดลง  ตอนกลางคืน ไม่ค่อยมีใครกล้าเดินผ่านโค้งผีสิงนี้  แต่ผมเดินเล่นเป็นประจำ

หลวงพ่อนวมนี่ แม่ผมยกให้เป็นลูกของท่านตั้งแต่ตัวเล็กๆ   แม่เล่าให้ฟังดังนี้

ตอนนั้น แม่อยู่ที่ตลาดท้ายเมือง ห่างจากตลาดบรมธาตุไปทางใต้ประมาณ 1-2 กิโลเมตร วันนั้น มีหมอดูมาทางเรือ  คนไทยชอบหมอดูกันอยู่แล้ว ก็พาไปดูกันทั้งหมู่บ้าน

ในช่วงท้ายๆ มีรายการ  คนอื่นๆ กลับกันไปหมดแล้ว เหลือเพียง 7 ครอบครัว ซึ่งพาลูกไปด้วย มีจำนวนทั้งหมด 7 คน มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย

เด็ก 7 คน ดังกล่าว เกิดปีเดียวกัน คือ ปีวอก ประมาณ พ.ศ. 2499

หมอดูบอกว่า เด็กพวกนี้มีบุญมากกว่าพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่เลี้ยงจะตายหมด ให้ไปยกเป็นลูกของพระ จึงจะรอด

ตอนนั้น ผมเป็นทรัพยากรที่มีค่าสำหรับตระกูลมาก คือ เป็นหลานชายคนแรกของก๋ง  ก๋งมีลูก 5 คน เป็นผู้หญิงหมด  เมื่อมีหลาน 3 คนแรก ก็ดันเป็นผู้หญิงอีก 

พอมีหลานคนที่ 4 คือ ผม เป็นผู้ชาย จึงเป็นสุดที่รักของก๋งเป็นอย่างยิ่ง

แม่จึงกล่อมเพื่อนได้อีกคนหนึ่ง  พากันมายกให้เป็นลูกของหลวงพ่อนวม  หลวงพ่อท่านก็รับไว้ แล้วบอกว่า “กูฝากพวกมึงเลี้ยงก็แล้วกัน

ปรากฏว่า หมอดูแม่นมาก  พวกที่ไม่เชื่ออีก 5 ครอบครัว  ลูกตายหมดเลยด้วยสาเหตุต่างๆ นานา 

ดังนั้น สำหรับผมนั้น  วัดพระบรมธาตุก็คือ เขตแดนอิทธิพลของผม  ด้วยเหตุผล 2 ประการ

1- เป็นลูกหลวงพ่อนวม
2- เป็นอันธพาลประจำหมู่บ้าน

เมื่อหลวงพ่อนวมมรณภาพ  หมู่บ้านของผมก็ได้เจ้าอาวาสองค์ใหม่ ซึ่งมีความจังไรเป็นอย่างยิ่งคือ “พระครูวุฒิชัยโสภณ”

ผมจึง “รู้” และ “เข้าใจ” ความจังไรของพระ มาตั้งแต่เป็นวัยรุ่นแล้ว  มีพระในวัดพระบรมธาตุยุคดังกล่าว ปลอมตัวเป็นฆราวาสไปเที่ยว  มีพระปราชิกเอาผู้หญิงไปนอนด้วย ฯลฯ

จะเห็นว่า  เมื่อเห็นข่าวพระเลวๆ ทำความเลวต่างๆ นานา ผมก็เฉยๆ ไม่วิพากษ์วิจารณ์ เพราะ มันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผม

มีอยู่ครั้งหนึ่ง  หลานของพระจังไรที่ว่า คือ “พระครูวุฒิชัยโสภณ” ได้ทำความไม่พอใจให้กับผมเป็นอย่างยิ่ง 

ผมจึงชวนไอ้อู (นายนิพล โกมลฑา) เข้าไปกระทืบลูกศิษย์พระในวัดเสียเลย  ไม่ต้องรอให้มันออกมานอกวัด ให้เป็นการเสียเวลา

คุณนิพล โกมลฑา ตำแหน่งสุดท้ายก่อนตาย เป็นรองหัวหน้าแขวงการทางจังหวัดพิจิตร ตายไปเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่าน  อายุ 56 ปี 

มันไปกวาดลานวัดเพื่อให้คนไปปฏิบัติธรรม ปรากฏว่า ไวรัสจากสัตว์ปีกลงปอดอย่างเฉียบพลัน  ไอ้อูนี่ มันอยู่สายพุทโธ

ขอเล่าเรื่องชื่อเล่นของผมกับพี่น้องก่อน 

พี่สาวคนโตผมชื่อนุช แล้วก็มาผม “โต้ง” น้องอีก 2 คนซึ่งเป็นผู้ชายคือ “อู”, “แจ้”  น้องสาวคนสุดท้องชื่อ “เจี๊ยบ”

ความเป็นอันธพาลของพวกผม ทั้ง 3 คน เราจึงได้ฉายาว่า “3 เจ้าพ่อตระกูลไก่ แห่งวัดบรมธาตุ” 

ฉายานี้ คุณเด็ดดวง ดอกรัก (ผู้สนับสนุนยอดรัก สลักใจ) เป็นคนตั้งให้  จากกรณีไปกระทืบลูกศิษย์วัดในวัดครั้งที่จะเล่าให้ฟัง นี่แหละ

ดังได้กล่าวแล้วว่า พอมีผมเป็นหลานผู้ชายคนแรก  น้าเริญ (เจริญ ศรีอักษร) ซึ่งเป็นน้าเขย ก็ตั้งชื่อให้ว่า “โต้ง” เพราะ เป็นไก่ตัวใหญ่  เพื่อให้บรรดาหลานๆ ที่จะมาข้างหน้าให้เป็นผู้ชายกันเยอะๆ

ดังนั้น ชื่อน้องผมจึงเป็นไก่หมด  ไม่รู้ว่า “น้าเริญ” แกตั้งชื่อได้ดีหรือเปล่า  โดยสรุป ก๋งผมมีหลานผู้ชายมากกว่าผู้หญิง 

ที่หมู่บ้านผมยังมีอีกครอบครัวหนึ่งตั้งชื่อคล้ายกันคือ  “ต็อก” กับ “อู”  ไอ้ 2 ตัวนี่ก็อันธพาลเหมือนกัน  อันธพาลหนักกว่าพวกผมเข้าไปอีก

กลับมาเข้าเรื่อง

ผมกับไอ้อูก็พากันเดินเข้าไปในวิหารใหญ่ของวัด ซึ่งเมื่อก่อนก็เข้า-ออกเป็นประจำอยู่แล้ว ตอนที่หลวงพ่อนวมยังไม่มรณภาพ

ตอนที่ผมบวชเณรให้ก๋ง ก็อยู่วิหารนี้

พอเข้าไปถึง “กลุ่มเป้าหมาย” ของผม  มันเสือกเห็นผมก่อน  มันก็หนีเข้าไปในห้อง แล้วปิดประตูเลย 

ผมทำอะไรไม่ทัน  เห็นมีไม้แปสั้นๆ อยู่แถวนั้น จึงขว้างตามไป โดนประตูดังสนั่น

อย่างไรก็ดี  ผมกับไอ้อูก็หมดปัญญาจะทำอะไรกับ “กลุ่มเป้าหมาย”  จะเผาวัดเสียเลย ก็ใช่ที่ จะพังประตูเข้าไป ก็ไม่ได้เอาเครื่องมืออะไรมาเลย

เราจึงเดินกลับบ้านด้วยความผิดหวัง เพราะ ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้

ปรากฏว่า พระจังไร “พระครูวุฒิชัยโสภณ” เสือกไปแจ้งความว่า ผม “ไอ้อู” และ “ไอ้แจ้” เข้าไปรุมทำร้ายร่างกายหลานของมัน

ดู..ความเลวระยำของไอ้พระรูปนี้   ผมไปกัน 2 คน ยังไม่ได้ทำอะไรเลย...  จะว่าไป ก็ทำอะไรไปนิดหน่อยเท่านั้น  มันเสือกแจ้งความไป 3 คน

แล้ว พระจังไร “พระครูวุฒิชัยโสภณ” ยังเลือกส่งข่าวไปให้เด็ดดวง ดอกรักออกข่าวอีก

ผมไม่ได้ยินข่าวด้วยตัวเอง เพราะ ไม่ชอบฟังวิทยุ  ไอ้อูมันชอบฟัง มันได้ยิน ถึงกับโมโหลมออกหู ตอนนั้น รู้สึกว่า มันเรียนโรงเรียนการช่างชัยนาทแล้ว

มันบอกว่า เด็ดดวงออกข่าวว่าเราเป็น “ 3 เจ้าพ่อตระกูลไก่ แห่งวัดบรมธาตุ”  ผมได้ยิน ผมก็ไม่ว่าอะไร ภูมิใจเสียอีก

เพื่อนฝูงส่วนใหญ่ก็ได้ยินข่าวจากเด็ดดวง  ผมก็เลยเป็น “เจ้าพ่อ” ไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

ไอ้อูมันไม่ได้ภูมิใจอย่างผม  มันโมโหมาก  คุณเด็ดดวง ดอกรัก แกไม่ได้ออกข่าวครั้งเดียวแล้วเลิก  แกออกข่าววันละหลายเวลา และหลายวันเสียด้วย

ไอ้อูถึงกับนั่งรถไปหาเด็ดดวง ดอกรักที่ตาคลี  เด็ดดวง ดอกรัก เป็นทหารอากาศ  สถานีวิทยุอยู่ที่ บน. 4  อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์

โชคดีที่ว่า เด็ดดวง ดอกรักไม่ได้ออกมาพบกับมัน  ไม่งั้นมันคงต่อยเด็ดดวงแน่ๆ แล้วก็คงถูกสารวัตรทหารกระทืบเอาแน่ๆ เหมือนกัน

นี่แหละ ถึงเป็นเหตุให้ตำรวจมาเชิญผมไปนอนเล่นบนโรงพัก 

ตำรวจอุตส่าห์เชิญแล้ว ผมก็ไป  พอไปถึงโรงพักยังไม่ทันจะเอาเข้ากรงเลย  ผมเห็นลุงคนหนึ่ง  นั่งอยู่บนโรงพัก  แกเป็นคนตลาดท้ายเมือง ผมจำหน้าแกได้ แต่จำชื่อไม่ได้

พอแกเห็นผม แกก็ชี้หน้าผมแล้วบอกตำรวจว่า “ไอ้นี่แหละ แทงผมเมื่อคืน”  อ้าว... ผมนึกในใจ  ทำไมความซวยถึงมากันถี่แบบนี้

วันเดียว ชั่วโมงเดียว เล่นซะ 2 คดี

ผมชักจะใจไม่เย็นแล้ว จึงตะโกนตอบไปว่า “ผมจะไปแทงลุงได้ยังไง เพิ่งมาจากลพบุรี มาถึงก็ถูกจับอยู่นี่

ก่อนที่จะเข้ากรงใหญ่ ผมจึงโวยวายทั้งลุงคนที่ว่า ทั้งตำรวจ  ปรากฏว่า เป็นที่ประทับของพวกบรรดาสมาชิกบนโรงพักอีกแล้ว

ครั้งที่ต่อยกับไอ้เป้า บรรดาสมาชิกบนโรงพักก็ชื่นชอบผมมาครั้งหนึ่งแล้ว เพราะ ด่าตำรวจ  ครั้งนี้โวยวายไปแล้ว ท่านก็ชื่นชอบผมอีก ถึงแม้จะเป็นคนละกลุ่มกัน

แล้วผมก็ได้มีโอกาสเข้าไปนั่งในกรงใหญ่  มีสมาชิกอยู่แล้วประมาณ 7-8 คน  เข้าไปแล้ว เห็นหน้าบรรดาสมาชิกในกรง ก็รู้ว่า ของจริงกันทั้งนั้น 

อย่างพวกผมนี่ ถือว่าเป็นมือสมัครเล่นไปเลย  ผมก็ไปนั่งอยู่มุมหนึ่งอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวเจียมใจ 

กรงขังก็เป็นกรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส  3 ด้านฝาเป็นคอนกรีต  อีกด้านหนึ่งก็เป็นซี่ลูกกรุง  ทุกคนก็จะมานั่งเอาหลังผิงลูกกรงกัน  ให้อยู่ห่างห้องส้วมให้มากที่สุด 

ห้องส้วมก็อยู่มุมหนึ่ง  ไม่ได้กั้นเป็นห้องต่างหาก เข้าไปนั่งทำอะไร หัวก็โผล่มาคุยกับเพื่อนข้างนอกได้

การเข้าคุกบนโรงพักไม่ใช่เรียบง่ายอย่างผมนะครับ  ผมไม่รู้เป็นอะไร ไปอยู่ที่ไหน พวกบรรดาเสือ สิงห์ กระทิง แรด เหี้ย ตะกวด มักจะไม่รังเกียจผม  พวกห่าๆ นั้น ชอบเสียด้วยซ้ำ

ผมมีหลักฐานประกอบด้วย ขอเล่าให้ฟังก่อนเลย

คดีนี้ ไอ้แจ้มันไม่ได้ไป  แต่พระจังไร “พระครูวุฒิชัยโสภณ” แจ้งความไว้ 3 คน ดังนั้น เมื่อวันที่ผมได้รับประกันตัวออกไป ในวันอาทิตย์ เพื่อรอขึ้นศาลในวันจันทร์

ไอ้แจ้มันก็ต้องมาเข้ากรงใหญ่บ้าง ตอนผมออก ไอ้แจ้เข้าไม่ตรงกัน  ผมออกมาก่อนพักหนึ่ง ไอ้แจ้ถึงเข้าไป 

ไม่รู้ว่าไอ้อูทำไมไม่เข้ากรงกับเขา

ไอ้แจ้มันเล่าว่า พอมันเข้าไป มันจะนั่งตามที่ว่างๆ เอาหลังผิงลูกกรงอย่างที่คนอื่นเข้าทำ  ยังไม่ทันนั่งได้ที่เลย   ขาใหญ่ในกรงตวาดเสียงดังเลยว่า “มึงนั่งตรงนี้ไม่ได้ มึงไปอยู่หน้าส้วมโน่น

ตอนนั้น ไอ้แจ้มันก็เริ่มจะเป็นจิ๊กโก๋แล้ว แต่อายุแค่ 15 ปี  หน้าตาสมาชิกในกรงมันก็โหดๆ ทั้งนั้น  ไอ้แจ้ก็เจี๋ยมเจี้ยม ย้ายไปนั่งที่หน้าส้วม

พอนั่งไปสักพัก ใจพอชื้นๆ แล้ว  มันก็บอกบรรดาสมาชิกในกรงว่า  “ผมเป็นน้องไอ้โต้ง ที่เพิ่งออกไปเนี่ยะ”  

เท่านั้นเอง  เพื่อนซี้ในกรงของผม  คนที่ผมไปนั่งครั้งแรกใกล้ๆ มัน ก็เรียกไอ้แจ้ไปนั่งด้วย  เพื่อนซี้คนนี้ ติดคดีปล้น คดีแรงกว่าคนอื่น ก็มีปากมีเสียงมากกว่าคนอื่นเขาหน่อย

บรรดาเพื่อนสมาชิกในกรงก็บริการไอ้แจ้อย่างดี  เปรียบเสมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เลยทีเดียว

คิดดูเอาเองก็แล้วกัน ผมเข้าไปอยู่ในกรงกับพวกนั้น แค่ประมาณ 2 คืนกับอีก 2 วันกว่าๆ เกือบ 3 วัน  พวกบรรดาเสือ สิงห์ กระทิง แรด เหี้ย ตะกวดก็ชอบผมจริงๆ ยังเผื่อแผ่ไปถึงน้องผมด้วย

ผมทำอย่างไร จะเล่าให้ฟังในบทความต่อไป






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น