บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ตีหัวพวกแกมมอน[03]

ก่อนที่จะบรรยายความเลวในสมัยนั้น ต้องขอบอกก่อนว่า เรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพื่อขออโหสิกรรมกับบุคคลที่โดนทำร้าย  รับรองผมจะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ตามสมควร

ถ้าท่านไม่ได้กระทำความเลวความชั่วจนหนักหนาสาหัส รับรองท่านไม่ตกนรกแน่นอน ผมจะช่วยท่านเอง

อีกอย่างหนึ่ง ก็ถือว่า “เป็นการปลงอาบัติ” ไปในตัว 

ถึงแม้ผมไม่ได้บวชพระอยู่ [ผมบวชพระมาแล้ว 4 ครั้ง ชีวิตนี้ครั้งที่ 5 คงไม่เอาแล้ว] ผมก็เป็นวิทยากรสอนปฏิบัติธรรม ก็เลยขออโหสิกรรมมา ณ ที่นี้ด้วย

คนที่ถูกทำร้ายในวันนั้น ป่านนี้คดีความก็คงว่ากันไม่ได้แล้ว ก็ขอให้อภัยกันไปก็แล้วกัน

ดังได้กล่าวแล้วว่า วันที่เกิดเหตุนั้น ผมเที่ยวเตร็ดเตร่อยู่ในตลาดยังไม่เข้าบ้าน  เรื่องนี้ แม่ผมก็ด่าเหมือนกันว่า “พวกมึง หมาไม่เหยียบรอยตีน นอนไม่หลับ”  สงสัยก็คงจะจริงตามคำด่าของแม่ผม

ผมจำได้ว่า พี่เปี๊ยกเช้าแกหน้าตาตื่นมาในตลาดเพื่อหาพวก ปรากฏว่า คนโตๆ ไปไหนกันหมดก็ไม่รู้ เหลือผมคนเดียว

พี่เปี๊ยกเช้าแกมาบอกผมว่า “ไอ้พวก Gammon มันคุยว่า มันจะปราบจิ๊กโก๋บรมธาตุให้หมด” 

อ้าว........ พูดอย่างนี้เป็นเป็นเรื่อง  ขออธิบายก่อนว่า พี่เปี๊ยกเช้าแกไปได้ยินเรื่องนี้มาได้อย่างไร 

พวกพนักงานของบริษัท Gammon เขามาผูกข้าวกินกับบ้านน้าเหลียว ที่ผมบอกไปแล้วว่า ติดกับบ้านไอ้นัสเพื่อนผม มีทางเดินเพื่อขึ้นไปบนเขื่อน กว้างประมาณ 1 วาคั่นอยู่ 

บ้านพี่เปี๊ยกเช้า ก็ติดกับบ้านน้าเหลียวเหมือนกันแต่อีกทิศหนึ่ง  คนเคยมีเรื่องกันอยู่ พวกบริษัท Gammon ค่อนข้างจะรายได้ดี  กินข้าวไปก็กินเหล้ากินเบียร์ไปด้วย  ก็คงจะพูดไปด้วยความคะนองปาก

พี่เปี๊ยกเช้าแกก็เสือกได้ยิน  เป็นความซวยของคนในแวดวงแถวนั้น

เมื่อผมได้ยินอย่างนั้น  ผมเองชอบอ่านนิยายจีนมาก  ห้องสมุดโรงเรียนวิชัยบำรุงราษฎร์ เดี๋ยวนี้ชื่อ โรงเรียนชัยนาทพิทยาคม ผมอ่านหมดทุกเล่ม  รวมถึงไปของห้องสมุดวิทยาลัยครูนครสวรรค์ด้วย เดี๋ยวนี้ชื่อ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์

อ่านนิยายจีนมาก ดังนั้น คำว่า “ลูกผู้ชายฆ่าได้ หยามไม่ได้” มันก็ต้องติดอยู่ในสมองกันบ้าง

เมื่อคนอื่นๆ ไม่มีอยู่แถวนั้น  ผมกับพี่เปี๊ยกเช้า 2 คน ก็จะต้องไปจัดการกับไอ้พวกบริษัท Gammon ปากหมา  ผมไม่เคยรู้เรื่องเลยว่า เขามีเรื่องกันมาก่อน  รู้เรื่องก็หลังจากนั้นอีกนาน 

แต่ความที่เป็นบ้านของผม มีคนมาหยาม มันก็อยู่กันไม่ได้  ผมกับพี่เปี๊ยกเช้าก็หาอาวุธกัน เพื่อไปโจมตีศัตรูประมาณ 10 คน ผม 2 คน

อย่างไรก็ดี ระหว่างที่พยายามหาอาวุธกันอยู่นั้น  พวกจิ๋กโก๋รุ่นพี่อีก 6-7 คน มันรู้เรื่องยังไงก็ไม่ทราบได้  มันก็มารวมตัวกัน 

ผมค่อยใจชื้นหน่อย นึกว่าจะต้อง 2 ต่อ 10 ซะแล้ว

เมื่อรวบรวมคนได้ครบ  เราก็ไปดักรอที่ใต้ถุนบ้านน้าเหลียวกับบ้านไอ้นัส ดังได้บอกแล้วว่า บ้าน 2 หลังนี้ติดกัน  มีทางเดินประมาณ 1 วาคั่นระหว่างกลาง เพื่อเดินขึ้นไปบนเขื่อน

พวกบริษัท Gammon เมื่อกินข้าวเสร็จแล้ว ก็จะต้องเดินลงจากบ้านน้าเหลียวกลับไปพักผ่อนที่บ้านพักชั่วคราวที่บนเขื่อน

ในเมื่อพวกวัยรุ่นรุ่นพี่มากกันมากเข้า เมื่อแรกผมถือมีดอยู่ ก็ต้องโอนให้รุ่นพี่ถือไว้  ส่วนผมต้องไปหาอาวุธใหม่ แถวๆ ที่เกิดเหตุนั่นแหละ

เดินไปเดินมา ผมได้กระบอกไม้ไผ่มาเป็นอาวุธ  ในการศึกคืนนั้น  ผมอายุน้อยที่สุด พวกรุ่นพี่เขาจึงจัดไว้ท้ายสุดของแผนการ

แผนการรบก็คือ พวกเราจะไปยืนแอบอยู่ตามเสาของบ้านน้าเหลียวกับบ้านไอ้นัส  บ้านแถวนั้น เป็นบ้านสองชั้นใต้ถุนสูง บ้านติดกันไปหลายหลัง 

พวกเราหลับตากันเดินได้เลย เพราะ เดินกันเป็นประจำ  แต่คนต่างบ้าน เดินชนเสาตายแน่ๆ

พวกรุ่นพี่ทั้งหลายก็ได้เสาประจำกันหมดแล้ว  ผมอายุน้อยสุด พี่เปี๊ยกเช้าจัดให้อยู่หลังสุด 

โดยปกติแล้ว ผมก็คิดว่า วันนี้คงไม่ถึงฝีมือผมหรอก เพราะ ก่อนหน้าผมมีแต่พวกเสือสิงห์กระทิงแรดทั้งนั้น

ผมมาด้วย เพราะ ทีแรกหาใครไม่ได้เท่านั้น

เมื่อเข้าประจำที่แล้ว  เราก็ได้ยินเสียงพวก บริษัท Gammon คุยอยู่บนบ้าน

อย่างไรก็ดี ตรงที่ผมแอบอยู่นั้น ถัดออกไปอีกประมาณ 10 เมตร มีหลอดไป 100 แรงเทียนอยู่ 1 หลอด ทำให้มีความสว่างพอสมควร  พี่เปี๊ยกเช้าสั่งให้ผมไปจัดการ

ผมก็เดินไป เอากระบอกไม้ไผ่อาวุธของผมไปเคาะให้หลอดแตก เพื่อจะให้ไฟดับ  ปรากฏว่า ไฟดับแต่หลอดไม่แตก  ดีเหมือนกัน 

ไอ้กระบอกไม้ไผ่อาวุธของผมนั้น กระบอกใหญ่มาก ผมต้องถือด้วยมือทั้ง 2 มือ และแล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้น..........

มีคนซวยเดินลงมาคนเดียวก่อน คนอื่นก็คงโอ้เอ้วิหารรายคุยกันไปคุยกันมา  คนที่เดินลงมานั้น ผ่านเสาคู่ที่ 1 ก็แล้ว คู่ที่สองก็แล้ว จนกระทั่งมาถึงผม...

ผมก็ยังงงๆ อยู่ว่า “ทำไมไม่มีใครจัดการเสียที”  ก็ตกลงกันแล้วว่า ถ้าผ่านใครมา ใครมีจังหวะก็ต้องจัดการ  ผมมีแต่กระบอกไม้ไผ่ จะทำยังไง

อย่างไรก็ดี  เมื่อคนซวยเดินมาถึงผม ผมก็โดดออกไป เอาไม้ไผ่อาวุธของผม ตีไปกลางแสกหน้า เต็มแรงของผมนั่นแหละ

เสียงกระบอกไม้ไผ่กระทบหัวคนดังสนั่นหวั่นไหว..ราวกับฟ้าผ่า  [เขียนไปเรื่อย.....]

ไอ้นัสมันกำลังอ่านหนังสืออยู่ มันเล่าให้ฟังว่า “เสียงดังชิบหายเลย” มันทำไมจะไม่ดัง ก็มันเป็นกระบอกไม้ไผ่กลวง มันก็ทำให้เสียงขยายไปอยู่แล้ว พวกลิเกยังเอาไปตีกันให้คนขำเลย

เมื่อผมตีลงไปสุดแรง คนซวยก็ล้มลงไป ที่นี่ไอ้พวกรุ่นพี่ ก็เอามีดมาฟันคนละทีสองที  คนซวยก็ร้องออกมาให้เพื่อนช่วย

เพื่อนที่ยังอยู่บนบ้านน้าเหลียวก็ยิงปืนขึ้นฟ้า 1 นัด 

พวกผมก็วิ่งหนีไปตามใต้ถุนบ้านตามระเบียบ ซึ่งไม่มีใครกล้าตามมา เราไปตั้งหลักกันในวัด พูดคุยหัวเราะสนุกสนานบนความเจ็บตัวของคนอื่น แล้วก็แยกย้ายกันไปนอน

ปรากฏว่า คนซวยนั้นเย็บ 50 กว่าเข็ม จากสันมีด  คือ พวกรุ่นพี่ทั้งหลาย ก็เป็นจิ๊กโก๋กันธรรมดาๆ เมื่อถูกเหยียดหยามก็ต้องจัดการกันหน่อย ไม่มีใครต้องการให้ถึงตาย

ดังนั้น เวลาฟันลงไป พวกนั้นจึงเอาสันมีดฟัน  แต่คนซวยเอาแขนมากัน จึงโดนเย็บไปทั้งหมด 50 กว่าเข็ม เย็บกับหมอในหมู่บ้านของผมนั่นแหละ

เรื่องนี้ คนในตลาดรวมถึงพวกบริษัท Gammon ก็รู้ว่าเป็นฝีมือของเด็กตลาด แต่ไม่มีใครสงสัยผมเลยแม้แต่คนเดียว รวมถึงแม่ของผมด้วย

ผมเป็นเด็กดีของคนในตลาด คือ ไม่ก้าวร้าวต่อผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เตือนผมก็ฟัง ไม่โต้แย้ง เพื่อนๆ บางคน มันก้าวร้าว ผมจึงไม่เคยโดนสงสัยในกรณีนี้เลย

แม่ผมรู้อีกประมาณ 20 ปีต่อมาภายหลัง เพราะ ผมเล่าให้ฟังเอง

หลังจากนั้นมา ผมก็ติดอับดับจิ๊กโก๋ระดับแนวหน้าของหมู่บ้านไปชั่วข้ามคืน  แต่เป็นจิ๊กโก๋ที่เรียนเก่งที่สุด

หลังจากนั้นมา ผมก็มีเรื่องกับจิ๋กโก๋ไปเรื่อย ส่วนใหญ่ก็เป็นความกรุณาของเพื่อนๆ ที่รัก ที่ไปหามาให้ 

ในระยะหลังๆ จิ๊กโก๋ที่เป็นคู่อาฆาตกันมา รู้ว่า ผมเรียนจบปริญญาเอก เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เดี๋ยวนี้ เป็นวิทยากรสอนปฏิบัติธรรม

พวกมัน ยังไม่ค่อยจะเชื่อกันเลย.............




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น