บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ตีกับเด็กการช่าง [02]



หลังจากชนะศึกเด็กการช่าง 50 คนมาแล้ว พวกบรรดาเสือสิงห์กระทิงแรดทั้งหลาย ก็ต้องย้ายสถานที่ในการกินเหล้า มาอีกร้านหนึ่ง  ซึ่งก็อยู่เยื้องๆ กับร้านเดิม

ตรงนั้นเป็นปากทางเข้าโรงหนังนิลเธียเตอร์ ซึ่งปัจจุบันเลิกกิจการไปแล้ว ตามสภาพของเศรษฐกิจและสังคมของไทยเรา

เหตุการณ์ที่บรรยายไปใน ตีกับเด็กการช่าง [01] เป็นตอนเช้า  น่าจะประมาณสัก 9.00 น. ภาษาบ้านผมก็คือ สามโมงเช้า

ผมนั่งกินเหล้า คุยโม้โอ้อวดกันอยู่นาน  น่าจะถึงประมาณเที่ยงวัน  เพื่อนๆ ในโต๊ะก็เรียกให้หันไปดูที่ถนนพรหมประเสริฐ  ทางที่จะไปสถานีตำรวจ

ปรากฏว่า ไอ้พวกเด็กการช่างประมาณ 50 คนนั้น มันไม่ได้หนีกลับไปเลย หรือหนีกลับไปเฉยๆ   มันไปตามพวกของมันที่โรงเรียน

คราวนี้ มันยกกันมาทั้งโรงเรียนเลย  เกินร้อยคนแน่ๆ อาจจะถึง 200 คนเสียด้วยซ้ำไป

ถ้าถามว่า ทำไมผมถึงรู้ว่า พวกเด็กการช่างมันมาทั้งโรงเรียน   คำตอบก็คือ เด็กการช่างท้ายๆ แถวมันเป็นเด็กในหมู่บ้านของผมเอง 

มันเล่าให้ฟังภายหลังว่า รุ่นพี่บังคับให้มันมา  มาไม่มาจะโดนรุ่นพี่ตบ  มันก็ยังไม่รู้เลยว่า รุ่นพี่ไปตีกับใคร  มาถึงแล้ว ถึงรู้ตีกับพวกผม 

มันมาขอโทษ แล้วก็เล่าให้ฟังว่า ไม่รู้ว่าพวกผมไปตีกับรุ่นพี่ของมัน

ผมก็บอกไปว่า “มึงไม่ต้องขอโทษหรอก  กูก็ไม่รู้ว่าใครมากันมั่ง กูจำได้ไอ้หนุ่ยคนเดียว”  ไอ้หนุ่ยนี่มันเป็นประธานนักเรียน เดินนำหน้ามาเลยทีเดียว

ตอนที่ผมหันไปมอง ภาษาบ้านผมคือ “แหงะ” ไปมอง  คือ หันไปมองนิดเดียว ไม่นานเหมือนหัน 

ผมก็เห็นแถวของเด็กการช่างยาวเหยียด  เดินมาตามถนนอย่างถูกกฎจราจร คือ เดินฝั่งซ้ายทั้งหมด ไม่ได้เดินเต็มถนน

ตอนที่ผมเห็นแถวของเด็กการช่างนั้น ระยะทางเหลืออยู่อีกประมาณ 100- 200 เมตร ก่อนจะถึงร้านที่ผมกำลังกินเหล้ากันอยู่

เมื่อเห็นดังนั้น  มีคนลุกขึ้น 3 คน จากทั้งโต๊ะประมาณ 10 กว่าคน คือ ผม ไอ้อ๊อดมินท์ แล้วก็ไอ้ยัณห์

ไอ้ยัณห์มันถือขวดไป 1 ใบ  ไอ้อ๊อดมินท์สะพายเป้ทหาร แล้วเดินข้ามถนนไปรอไอ้พวกเด็กการช่างเลย 

เป้ทหารใบนั้น มันเหมือนกับว่า พวกผมมีปืนหรือระเบิดอยู่ในนั้น  แต่วันนั้น เป็นเป้เปล่าๆ ไม่มีอะไรเลย

ความจริงปืนเราก็มี ระเบิดเราก็มี แต่ไม่ได้เอาไป เพราะ มันตีกันในเมือง

สำหรับผมเอง ไม่มีอะรติดตัวมาเลย  ผมก็เลยเดินหาอาวุธก่อน  ปรากฏว่า ได้ไม้แปยาวประมาณ 2 เมตร ผมก็ถือ และเดินข้ามถนนตามไอ้ยัณห์กับไอ้อ๊อดไป

ไอ้ยัณห์กับไอ้อ๊อดมินท์นี่ มันตัวเตี้ยกว่าผม  มันยืนอยู่ห่างกันพอสมควร  ผมก็เลยแย่งซีน คือ ไปยืนกลาง ถือไม้แปไว้แบบยักษ์วัดโพธิ์ถือกระบอง

เท่าที่จำได้ ผมยืนรอไอ้พวกเด็กการช่างทั้งโรงเรียนอยู่นานพอสมควร 

ใช้หางตามองไปทางพวกเพื่อนๆ  ปรากฏว่า ไม่มีใครเดินตามมาเลย  ปล่อยให้ผม, ไอ้ยัณห์. ไอ้อ๊อดมินท์ เป็นพระเอกอยู่ 3 คน

ไม่รู้วันนั้นเป็นยังไง  จิตใจมันสงบมากไม่ตื่นเต้นอะไรเลย เฉยมาก ไม่เมาเหล้าด้วย  ที่ผมบรรยายไปว่า กินเหล้านั้น เราไม่มีกินมากจนถึงกับเมาจนขาดสติ

ไม่ใช่ว่า เราคิดรอบคอบอะไรหรอก  มันไม่มีเงินกิน  ผมยังไม่ทำงาน เพื่อนๆ ก็เรียนมั่ง ไม่เรียนมั่ง และไม่ใช่ลูกคนรวยอะไร

ในทุกๆ ครั้งที่มีเรื่อง ผมมักจะตื่นเต้นเสมอ แต่อาการไม่ออก การตื่นเต้นที่ว่านั้น ไม่ใช่ “กลัว” คือ สู้นะสู้แน่ๆ แต่ใจมันก็สั่นๆ  สั่นสู้ว่าอย่างนั้นเถอะ

ไอ้อ๊อดมินท์นี่มันนิ่งมาก  ดูอาการไม่ออก...

หลายปีต่อมา จนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ตีกับใครไม่ไหวแล้ว ผมจึงถามไอ้อ๊อดมินท์ว่า “ไอ้อ๊อด กูถามมึงจริงๆ ตอนที่มีเรื่องสมัยเด็ก ใจมึงสั่นไหม

ไอ้อ๊อดมินท์มันก็เอ่ยสัจจะวาจาออกมาว่า “ไอ้เหี้ย กูก็ใจสั่นเหมือนมึงนั่นแหละ จะมีเรื่องใครไม่สั่นมั่ง

ได้ฟังคำตอบไอ้อ๊อดมินท์แล้ว ผมสบายใจขึ้นเยอะ นึกว่าใจสั่นตื่นเต้นอยู่คนเดียว

เด็กการช่างทั้งโรงเรียนที่นำโดยไอ้หนุ่ยประธานนักเรียนนั้น พอเดินมาถึงพวกผม มันมายืนตรงหน้าผมเป๊ะ ห่างจากผมไม่ถึงวา  แล้วก็ถามว่า “เมื่อกี้ใครต่อยเพื่อนกูวะ

ทีแรกผมนึกในใจว่า “ทำไม มึงต้องมายืนตรงหน้ากู และถามกูด้วย”  แต่นึกไป นึกมา ก็เสือกยืนกลาง มันก็ต้องมาถามคนกลางนั่นแหละ

ก่อนที่จะตอบคำถามของมัน  ผมมองไปตามแถวอันยาวเหยียดของเด็กการช่าง พร้อมกับคิดในใจว่า จำนวนคนขนาดนี้ “ถ้ามันหยิกกันคนละที สองที พวกผม 3 คนตายแน่

อย่างไรก็ดี  อย่างที่เขียนมาหลายครั้งแล้วว่า พวกผมนั้น ถ้าลงได้มีเรื่องแล้ว ไม่เอาเกียร์ถอยหลังมาด้วย  มีเรื่องก็ต้องมีให้มันสุดๆ กันไป  ตายเรื่องเล็ก ไม่คำนึงถึงอยู่แล้ว

ผมก็ตอบมันไปว่า “กูเองแหละ แล้วมึงจะทำไม”   ขอให้สังเกตสำนวนที่ว่า “แล้วมึงจะทำไม” ผมได้ใช้บ่อยมาก ตอนที่เป็นวัยรุ่น 

พอผมตอบไปอย่างนั้น ไอ้หนุ่ยถึงกับ “อึ้ง”  พูดไม่ออก บอกไม่ถูกไปเลยทีเดียว 

มันคงนึกในใจว่า ไอ้พวกนี้มันบ้าแน่ๆ  มัน 3 คน มันสู้คนเป็นร้อยได้อย่างไง  มันไม่บ้าก็ประสาทเสียไปแล้ว

ขอยืนยันว่า ไอ้หนุ่ยมัน “พูดไม่ออก”  จริง คือ มันไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย 

เมื่อเวลาผ่านมาอีกหลายปี ผมนึกกลับไปถึงเหตุการณ์วันนั้น  ถ้าไอ้หนุ่ยมันพูดอะไรออกมาอีกคำหนึ่ง  ผมคงเอาไม้กระบองของมันฟาดหัวมันแน่  แต่มันไม่พูดเลย มันหุบปากเงียบไปเลย

ตรงนี้ขอบอกไปยังท่านผู้อ่านว่า  เท่าที่สังเกตชีวิตตนเอง ชีวิตของเพื่อน ชีวิตของคนอื่นๆ มานาน เมื่อมีเรื่องทะเลาะกัน  ถ้ายังโมโหอยู่ “อย่าต่อปากต่อคำ” กัน 

ขอให้เงียบไว้ ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ได้  เรื่องจะไม่ไปกันใหญ่โต 

ถ้าเถียงกัน เถียงกันมา ต่อปากกันไป ต่อปากกันมา  ความโมโหมันก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ฆ่ากันตายกันมาเยอะแล้ว  สามีภรรยาก็เลิกกันมาหลายร้อยคู่แล้ว

เมื่อ ไอ้หนุ่ยมัน “ไม่พูดออกมาอีก”  อีก มันก็เกิดสุญญากาศ  ผมจะลุยมันเลย มันก็จะขาดจริยธรรมคุณธรรมในการมีเรื่อง 

ถ้าถามว่า ผมกลัวเด็กการช่างเป็นร้อยนั่นไหม  คำตอบก็คือ  ผมไม่กลัวมันหรอก 

เด็กการช่างมันเป็นนักเรียน  มันมีลิมิตของมันอยู่  ถูกเพื่อนชักชวนมั่ง  บังคับมั่ง มันก็ต้องมาเป็นไม้ประดับอย่างนั้นแหละ 

ถ้าผมบ้าลุยไปเลย  ส่วนใหญ่เด็กการช่างมันก็จะวิ่งหนี  เมื่อเช้า 50 คน มันยังหนีมาแล้ว

พวกเด็กเรียนมันจะคิดหน้า คิดหลัง เพราะ เหตุการณ์ไม่ได้มีวันนี้วันเดียว 

ถ้าวันนี้พวกผม 3 คน ถูกยำจนสลบไปเลย  พรุ่งนี้ล่ะ มะรืนนี้ล่ะ พวกมันจะทำยังไง เพราะ พวกผมเป็นจิ๊กโก๋ อาจจะไปดักแก้แค้นพวกมันได้

สภาวะ “สุญญากาศ” อยู่อย่างนั้นนานมาก  แต่แล้วเทวดาก็มาช่วยผมอีกแล้ว หนที่ผมต่อยกับไอ้เป้า  ตำรวจที่เป็นพ่อไอ้เป้าก็มาช่วย

คราวนี้ ตำรวจทั้งโรงพัก นั่งรถจี๊บมาเต็มคัน  มาจอดตรงข้างๆ จุดยุทธศาสตร์เลย  

ที่ผมยืนจะมีเรื่องกันนั้น ยืนแค่ฝั่งถนนเดียว  รถตำรวจก็แซงขวาแถวนักเรียนการช่างมา เบรกเอี๊ยดตรงที่ผมยืนอยู่

ขอบอกก่อนว่า  ตำรวจเขาไม่ได้มีเจตนามาช่วย พวกเหี้ย พวกตะกวดอย่างพวกผมหรอก แต่ตำรวจเขาคิดว่า เด็กการช่างมันเดินขบวนกัน เลยต้องมาระงับเหตุ

ปีที่ตีกันนั้น เป็นปีหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา หรือ วันมหาวิปโยคปีหนึ่ง คือ ประมาณ 2517  ช่วงนั้น เด็กอาชีวะ เด็กมหาวิทยาลัยประท้วงกันมากมาย

เมื่อตำรวจมาถึงแล้ว มากันทั้งโรงพักอย่างที่ผมว่า  ตำรวจเห็นว่า นักเรียนมากกว่า พวกเหี้ยพวกตะกวดมี 3 ตัว  หน้าด้าน หน้ามึนไม่หนีด้วย

ตำรวจก็ไม่รู้จะจับได้ยังไง  ยังไม่ได้ลุยกันด้วย  ตำรวจก็ขอร้องให้สลายตัว..

เด็กการช่างมันก็เดินกลับไปโรงเรียนของมัน  ผมก็กลับไปที่โต๊ะเหล้าของผม  เจ้าของร้านที่ผมกินเหล้าอยู่  ยกนิ้วโป้งให้แล้วพูดว่า “แน่มาก ไม่ถอยเลย แม้แต่ก้าวเดียว

ก่อนที่ผมจะกลับยังโต๊ะเหล้านั้น  ผมก็เงยหน้าไปดูรอบๆ  นึกในใจว่า “ชิบหายแล้ว คนดูเป็นพันเลย

ปรากฏว่า มีไทยมุง มาล้อม มามุงดูไม่รู้กี่ร้อยคน  ตอนที่มีเรื่องกัน มันก็ต้องมุ่งโฟกัสไปที่ศัตรู  ไม่ได้หันไปดูที่อื่น

ที่กลัวคนดูนั้น ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก  คือ กลัวว่าเรื่องนี้ จะรู้ไปถึงแม่ผม  ถึงเป็นจิ๊กโก๋แล้ว ก็ยังกลัวแม่ตีอยู่

ในวันนั้น ปรากฏว่า เด็กการช่างไม่มีใครมาขึ้นรถโดยสารที่ท่ารถชัยนาทเลย  พวกนั้น หนีไปขึ้นรถที่อื่นหมด  ไม่กล้ามาที่ท่ารถเลย

ท่ารถชัยนาทนี่ มันเป็นเขตแดนของพวกผม  เวลารอรถโดยสารออก อย่างต่ำๆ ก็ชั่วโมงหนึ่ง เราจึงมาเกะกะๆ ระรานชาวบ้าน อยู่แถวท่ารถเป็นประจำ

บรรดาผู้ขับขี่สามล้อที่ท่ารถ ก็เป็นพวกเรา

หลังจากเหตุการณ์นี้ไปแล้ว  ผมจึงได้รับการจัดอันดับเป็นอันธพาลเบอร์หนึ่งของชัยนาทไปอย่างสมเกียรติภูมิ

ความจริงไอ้อ๊อดมินท์มันน่าจะได้ตำแหน่งนี้  แต่ก่อนหน้านี้ ผมต่อยกับลูกตำรวจไปแล้ว 2 คน  คะแนนจึงตกมาที่ผมมากกว่าไอ้อ๊อดมินท์

เรื่องที่ขึ้นอันดับหนึ่ง ประเภทอันธพาลประจำจังหวัดนี่  ผมไม่ได้ไปเห็นเองหรอก พ่อของเพื่อนไปธุระที่โรงพัก เห็นอันดับเข้าจึงมาเตือนให้ระวังตัว

ผมเองก็ไม่ได้ระวังตัวอะไรหรอก  หลังจากนั้นไม่นานนัก ผมสอบบรรจุเป็นครูที่จังหวัดลพบุรีได้ ชีวิตวัยรุ่นแบบนั้น ก็ค่อยๆ หายไป

มันไม่ได้หายไปเลยแบบปุ๊บปั้บ เพราะ เป็นครูใหม่ๆ ผมกลับมาบ้าน ก็ยังมีเรื่องมาให้ยุ่งอยู่ บางเรื่องถึงกับเข้าไปติดตะรางห้องใหญ่ของโรงพักชัยนาทเลยทีเดียว






4 ความคิดเห็น:

  1. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  2. คุณเป็นคนคิดมากไป และคิดเอาตัวเองเป็นหลัก คล้ายตอนเป็นเด็กทารก ถ้าไม่ได้อย่างที่ต้องการก็ร้องไห้เพื่อให้ได้

    สิ่งไม่ดีที่คุณได้รับ มันก็เป็นจากกรรมเก่า คุณเข้าไปอยู่ในกลุ่มของวิทยากรได้ แสดงว่า บารมีเก่าสูงพอสมควร การยังไม่เห็นดวงธรรม กายธรรมก็เป็นเรื่องปกติ วิทยากรส่วนใหญ่ก็ไม่เห็น

    คุณเคยสอนคนเห็นดวงธรรม เห็นกายธรรมมาแล้ว นั่่นแหละ แสดงว่าคุณมีบารมีเดิมพอสมควร

    ผมเองก็ได้รับความอยุติธรรมมาก แต่ผมยอมรับได้ว่าเป็นกรรมเก่าของผม และผมรับมันได้

    บ้านผมต้องรื้อออกจากตลาดบรมธาตุ เพราะ เจ้าคณะจังหวัดชัยนาทจังไร สั่งให้รื้อออก โดยไม่มีเหตุผลอันใด ชาวตลาดบรมธาตุที่ผมอยู่มาตั้งแต่เด็ก ดูถูกผมตอนตกอับ ผมก็ไม่เข้าหมู่บ้านของผมเลย

    ตั้งแต่บัดนั้น จนถึงบัดนี้ ประมาณ 30 ปีมาแล้ว

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

      ลบ
    2. คุณจักรพงศ์ค่ะ
      ฉันเคยเจอปัญหาที่หนักมากคุณต้องจัดการอารมณ์ของคุณให้ดีค่ะคิดว่า ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่มีผลเราถึงต้องเจอกับเรื่องแบบนี้เสียใจได้แต่อย่าเสียความตั้งใจ สิ่งที่ผ่านมากลับไปแก้ไขไม่ได้แต่เราทำพรุ่งนี้ให้ดีได้อย่าให้ซ้ำรอยเมื่อวาน
      เรากำหนดคนที่อยู่รวมกันเป็นจำนวนมากว่า สังคม สังคมมีกฎข้อบังคับในการอยู่ร่วมกัน แต่สังคมกำหนดเราไม่ได้หรอกค่ะว่าเราจะต้องดี ต้องชั่ว ต้องล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จ ตัวเรานั่นแหระกำหนดตัวเองฉันจึงอยากศึกษาวิชชาเพื่อจะระงับจิตที่กำหนดของเรานี่แหระค่ะ เพราะไม่อยากเสียใจที่ต้องสูญเสียคนที่รักไม่อยากทุกข์ใจเมื่อมีปัญหาอยากตัดมันออกไปให้หมดอยากมองอะไรให้มันรู้เห็นเข้าใจแล้วก็วาง แต่มารของฉันคงจะเยอะเลยไม่ค่อยได้เริ่มอะไรสักอย่างก็มีเหตุให้ต้องทำอย่างอื่น แต่ก็ไม่กล้าที่จะโกหก ไม่กล้าที่จะนินทา ไม่กล้าที่จะฆ่าสัตว์แต่ไม่ใช่ว่าจะร้อยเปอร์เซ็นต์ก็มีบ้างตามประสาคนธรรมดานั่นแหระค่ะ ศีลห้าบางวันยังรักษาได้ไม่ครบเลยค่ะเห็นม่ะฉันก็ล้มเหลว ทั้งทางโลกและทางธรรม เลยเหมือนกัน
      ฉันคิดว่าจะเห็นดวงเห็นกายหรือไม่ก็อย่ายึดติดค่ะ ฉันชอบอ่านสำนวนในการเขียนของอาจารย์มนัสแต่ยังไม่เคยศึกษาวิชชาธรรมกายเลย (ด้วยสัตย์จริงกำลังเก็บข้อมูลอยู่ค่ะ) แค่คุณเป็นวิทยกรมอบความรู้ให้กับผู้อื่นนั่นก็เป็นผู้ให้ที่น่ายกย่องแล้วค่ะ เป็นกำลังใจให้น่ะค่ะ

      ลบ