บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ตีกับเด็กการช่าง [01]





คราวนี้มาถึงความโด่งดังสุดๆ ของผมในการตีรันฟันแทงกับคนอื่น หลังจากเกิดเหตุการณ์ไปแล้ว ผมได้รับการแต่งตั้งจากตำรวจให้เป็น “อันธพาลหมายเลข 1” ของจังหวัดเลยทีเดียว

ไอ้อ๊อดมินท์เพื่อนซี้ของผม  โหดกว่าผม มีเรื่องมากกว่าผม มันยังได้อันดับต่ำกว่าเลย

ถึงขนาดที่ว่า ผู้คุมคุกของจังหวัดชัยนาทถึงกับต้องการดูตัวว่า “ไอ้อ๊อด-ไอ้โต้ง” มันรูปร่างยังไงวะ  อยากดูตัว เป็นใคร มาจากไหน

ผู้คุมคุกของจังหวัดชัยนาทคิดว่า ผม 2 คนจะต้องได้รับเกียรติในการเข้าไปอยู่ในคุกแน่ๆ ยังไงๆ ไอ้สองตัวนี้ ต้องไม่รอดคุกแน่ๆ

เรื่องนี้ ผมยั๊วะมาหลายปี ถามไอ้อ๊อดมินทร์ มันก็ไม่รู้เรื่อง   ผมยั๊วะว่า “ทำไม ผู้คุมคุก เอาชื่อมันขึ้นก่อนชื่อผม คือ เรียก “ไอ้อ๊อด-ไอ้โต้ง” มันน่าจะเป็น “ไอ้โต้ง-ไอ้อ๊อด” มากกว่า

เด็กการช่างที่ตั้งเป็นชื่อบทความนั้นก็คือ นักเรียนของโรงเรียนการช่างชัยนาท  เป็นปัจจุบันคือ วิทยาลัยเทคนิคชัยนาท

โรงเรียนการช่างชัยนาทดั้งเดิมนั้น อยู่หลังโรงเรียนวิชัยบำรุงราษฎร์  เด็กการช่างเวลาไปโรงเรียนก่อนจะเดินผ่านโรงเรียนผมไป

เด็กที่จบจากโรงเรียนวิชัยบำรุงราษฎร์ ก็ไปเรียนต่อระดับ ปวช. ที่โรงเรียนการช่างชัยนาทเป็นจำนวนมาก

สถานที่ของวิทยาลัยเทคนิคชัยนาทปัจจุบันนั้น เมื่อก่อนคือโรงเรียนสตรีชัยนาท  เป็นโรงเรียนผู้หญิงล้วน  โรงเรียนวิชัยบำรุงราษฎร์ของผม เป็นโรงเรียนชายล้วน  ยกเว้น ม.ศ. 4-5 ถึงจะมีผู้หญิงมาเรียน

หลังจากที่ผมเรียนจบ ม.ศ. 3 ไปแล้วหลายปี  โรงเรียนสตรีชัยนาทก็มารวมกับโรงเรียนวิชัยบำรุงราษฎร์ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนชัยนาทพิทยาคม” จนถึงปัจจุบัน

โรงเรียนการช่างก็ย้ายมาอยู่แทนโรงเรียนสตรี  ยกสถานที่เดิมให้เป็นของโรงเรียนชัยนาทพิทยาคม

จะเห็นได้ว่า “โรงเรียนการช่างชัยนาท” เป็นสถานศึกษาที่สอนสูงสุดในจังหวัดชัยนาท  แล้วผมไปมีเรื่องกับพวกเด็กการช่างได้อย่างไร

เรื่องของเรื่องก็มาจาก “ไอ้ปิ”  หรือคุณปิยะ ทำบุญอีกแล้ว

ตอนที่มีเครื่องคราวนี้ ผมเรียนจบ ป.กศ. ต้น แล้ว  จากการที่ติด F วิชาประวัติศาสตร์ไทย จึงไม่จบตามเวลาที่ควรจะเป็น  ไปจบตอนซัมเมอร์ คือ ภาคฤดูร้อน  จึงทำให้สอบบรรจุไม่ทัน  ช่วงนั้น ก็คือช่วงว่าง ที่รอสอบบรรจุ

แต่ “ไอ้ปิ” เพื่อนร่วมเรียนจาก ป. 1- ป. 7  ยังเรียนไม่จบ ม.ศ. 3 เลย  ไม่รู้มันเรียนหนังสือแบบเลวระยำหมายังไงของมัน

ตอนนั้น มันเรียนอยู่ที่โรงเรียนยุวราษฎร์  อันเป็นโรงเรียนเอกชนของจังหวัด เดี๋ยวนี้ยุบไปแล้ว 

ก่อนมีเรื่อง 1 วัน ไอ้ปิมาขอร้องพวกผมว่า  พรุ่งนี้เด็กการช่างจะมารุมกระทบเด็กโรงเรียนยุวราษฏร์ ให้พวกผมไปช่วยหน่อย

ได้ฟังแล้ว  พวกเสือสิงห์กระทิงแรดอย่างพวกผม เลือดขึ้นหน้าขึ้นมาทันที  เรื่องนี้มันเหมือนเรื่องผู้ใหญ่รังแกเด็ก

โรงเรียนการช่างมันเป็นพวก ปวช. แล้ว  เด็กยุวราษฎร์มันยังเป็นเด็กมัธยมอยู่เลย  อย่างนี้ใช้ไม่ได้

ที่ประชุมก็ตกลงว่า จะไปช่วยเด็กยุวราษฎร์กัน

ขอบอกพื้นฐานเด็กโรงเรียนยุวราษฎร์บางส่วน ซึ่งผมคิดว่าจะเป็นส่วนใหญ่ของโรงเรียนด้วยว่า เด็กมัธยมของโรงเรียนยุวราษฎร์ ส่วนใหญ่เรียนไม่จบจากโรงเรียนอื่น  ก็มาสะสมกันที่นี่

ไอ้ปิ เพื่อนของผมนั้น ถ้ามันเรียนหนังสือตลอดอย่างผม และเรียนโรงเรียนการช่างมันก็จะอยู่ ปี. 3 ของ ปวช. แล้ว

แต่ในตอนนั้น พวกผมไม่ได้คิดอย่างนั้น  โรงเรียนใหญ่มารังแกโรงเรียนเล็กได้ยังไง  แล้วเด็กนักเรียนโรงเรียนเล็ก มันเป็นเพื่อนเราด้วย

วันรุ่งขึ้น ผมก็รวบรวมเพื่อนได้  5-6 คน จำคนอื่นไม่ได้แล้ว จำได้แค่ ผม-ไอ้อ๊อดมินท์-ไอ้ยัณห์ 

ไอ้ยัณห์นี่ ชื่อจริงๆ ของมันคือ “สายัณห์”  มันเป็นเด็กวัดงิ้ว ไม่ใช่เด็กบรมธาตุเหมือนพวกผม แต่เป็นเพื่อนร่วมก๊วนกัน

วัดงิ้วอยู่เหนือวัดบรมธาตุ 1 วัด  ห่างกันประมาณ 3 กิโลเมตร

ตอนที่ไปถึงนั้น  พวกเด็กการช่างกับเด็กยุวราษฎร์มันนั่งกันอยู่ในร้าน  เด็กการช่างมีเยอะมาก น่าจะเกิน 30 คน ผมคิดว่าน่าจะถึง 50 คน เพราะมันนั่งอยู่หลายโต๊ะ เต็มร้านเลย  เด็กยุวราษฎร์มีประมาณ 7-8 คน นั่งอยู่โต๊ะเดียว

ก่อนที่ผมจะไปถึงนั้น ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น  ไม่รู้ว่ามันจะรอพวกผมหรือยังไงก็ไม่ทราบ

ร้านที่เกิดเหตุนี้  อยู่เยื้องๆ โรงหนังเฉลิมชัย  ที่ผมเขียนไว้ว่า ร้านแรกในภาพด้านบน  พอพวกผมไปถึง  ผมก็เดินไปหาไอ้ปิ เพื่อเป็นการให้กำลังใจว่า กูมาช่วยแล้ว   

ไอ้เด็ก 2 โรงเรียนนั้น ก็เริ่มมีเรื่องกันทันที คือ เริ่มเถียงกัน เริ่มหาเรื่องกัน

ต้องอฺธิบายกฎกติกามารยาทในการหาเรื่องกันก่อน 

การจะมีเรื่องกันนั้น  ไม่ใช่ว่า จะเดินมาเจอกัน หรือเจอใครก็ชก-ต่อย-ตีเขาเลย  ไม่ใช่อย่างนั้น  พวกที่ทำอย่างนั้น  ไม่ใช่จิ๊กโก๋หรือนักเลงแล้ว  เป็นพวกคนบ้ามากกว่า

พวกจิ๊กโก๋หรือพวกนักเลงนั้น เขาจะต้องมีการ “บิ้ว” อารมณ์เสียก่อน  ขอยกตัวอย่างที่ผมไม่ถนัดเลย  รวมถึงไอ้อ๊อดมินท์ด้วย  ก็คือ “การจ้องตา

ผมกับไอ้อ๊อด “จ้องตา” เพื่อหาเรื่องไม่เป็น  พวกนั้นมันต้องเป็นพวก “ตาแข็ง”  ถ้าผมถูกใครจ้องตา ส่วนใหญ่ผมก็จะหลบตา 

เรื่องการ “จ้องตา” ไอ้อ๊อดมินท์มันก็ทำไม่ค่อยได้ แต่มันมีเทคนิค  มันบอกว่า “มึงก็จ้องไปที่คิ้วของมัน” 

เออ. เทคนิคของมันดีเหมือนกัน  แต่ผมก็ยังทำไม่ได้อีกนั่นแหละ

ดังนั้น เมื่อผมถูก “จ้องตา” เพื่อหาเรื่องจากพวก  “ตาแข็ง”  เมื่อไหร่  ผมก็จะหลบตาทุกครั้ง แต่ผมก็พิสูจน์ได้ว่า ไอ้ “ตาแข็ง” นั้น หัวมักจะไม่แข็ง

คือ เมื่อผมหลบตามันแล้ว  ผมก็จะหาทางย่องๆ หรือแอบๆ ไปข้างหลังมัน แล้วก็ลองตีหัวมัน โดยวัสดุของแข็งเท่าที่พอหาได้ 

ผมก็พบว่า หัวมันก็จะแตกทุกครั้ง แล้วมันก็วิ่งหนีทุกครั้งไป

ครั้งที่ตีกับเด็กการช่างนี่ก็เหมือนกัน พอพวกผมมาถึง เหมือนเป็นสัญญาณให้มันมีเรื่องกันเลยทีเดียว

พวกมันเริ่มเถียงกัน ลุกขึ้นผลักกันไปมา  

โดยปกติแล้ว ผมเองเป็นคนชอบประนีประนอมเหมือนกัน  ไม่ได้โหดไปทีทุกเรื่อง  ผมก็เลยทำตัวเป็น “ท้าวมาลีวราช” เพื่อห้ามทัพไว้ก่อน

ผมก็ไปยืนอยู่ตรงกลาง ทำท่าแบบตำรวจจราจรเลย คือ กางแขนออก 2 ข้าง ห้ามคนโน้นที คนนี้ที

ไม่รู้ว่า ทำหน้าที่บกพร่องหรืออย่างไร  ปรากฏว่า เด็กการช่างต่อยผมเข้าให้  ขนาดเอียงหัวหลบแล้ว ยังโดนเข้าที่โหนกแก้ม

ผมนึกในใจ “อ้าว ไอ้ฉิบหาย ก็ไม่ห้ง ไม่ห้ามแม่มังแล้ว”  พร้อมกับเอ่ยมธุรวาจาว่า “ไอ้เหี้ย”  แล้วก็ชกมันเข้ามั่งแบบไม่นับหมัด  

ผมไม่ได้หันไปดูเหตุการณ์รอบตัวเลย  ผมสันนิษฐานว่า เมื่อกรรมการคือ ผมเริ่มโดนต่อย เพื่อนๆ ผมก็เริ่มลุยกันบ้าง

สักพักไม่นานนัก  เด็กการช่างประมาณ 50 คนก็วิ่งหนี เด็กบรมธาตุไม่กี่คน 

ไอ้คนที่ถูกผมลุยอยู่  มันเริ่มวิ่งหนีบ้าง  มันคงคิดหาทางหนีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ผมเมื่อโมโหแล้ว ผมก็ต่อยไม่หยุดเหมือนกัน

แต่ตอนที่ต่อยกันนั้น  ไอ้นั่นมันยืนออกไปทางหน้าร้าน  อยู่ผมยืนอยู่ด้านในร้าน  พอมันพอตั้งตัวติด มันก็วิ่งหนีออกไปหน้าร้าน

ด้วยความโมโหที่ห้ามแล้ว ไม่เชื่อ แล้วดันเสือกมาต่อยผมอีก ผมก็วิ่งตามจะไปกระทืบมันอีกให้หายแค้น  วิ่งตามไอ้นั่นไป  ไม่ได้มองซ้ายมองขวา

แต่แล้วผมก็ต้องเบรกตัวโก่ง  เมื่อไอ้เด็กการช่างมันวิ่งไปหาตำรวจ น่าจะเป็นจ่าแก่ๆ คนหนึ่ง มันร้องให้จ่าช่วยด้วย

ผมวิ่งจะไปถึงมัน จ่าตำรวจท่านนั้น ก็เอากระบอกปืนคาร์บินจิ้มมาที่หน้าอกผม

ผมเองก็เพิ่งรู้ว่า ผมมีมันสมองที่ไวเป็นเลิศ ก็เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้นี่แหละ ผมตะโกนบอกจ่า ทั้งๆ แกก็อยู่ใกล้ๆ ว่า “จ่า ผมก็หนีเขามา

จ่าแกส่ายปืน อนุญาตให้ผมวิ่งไป ก็บอกว่า “รีบไปไอ้หนู” แล้วแกก็เดินเข้าไปในร้าน

โดยสรุป 

รอบแรกนี้ เด็กการช่างประมาณ 50 คน  หลังจากประมือกับเด็กจิ๊กโก๋บรมธาตุ รวมกับเด็กยุวราษฎร์น่าประมาณ 10 คน  เด็กการช่างหนีกลับไปโรงเรียน

พวกผมก็ย้ายนิวาสถานไปหากินเหล้าอีกร้านหนึ่ง  ในภาพที่ร้านที่สอง ตรงนั้นเป็นปากทางเข้าโรงหนังนิลเธียเตอร์

ก็ตามปกติของจิ๊กโก๋ ก็ไปคุยโต โม้โอ้อวดกันไปเรื่อย ไอ้ที่ได้แผลมา ก็โชว์แผล

ตอนนั้น ผมไม่รู้ว่า ไอ้พวกเด็กการช่างมันไม่ได้หนีกลับไปเลย  มันไปตามพวกของมันที่โรงเรียน คราวนี้ มันยกกันมาทั้งโรงเรียนเลย  เกินร้อยคนแน่ๆ อาจจะถึง 200 คนเสียด้วยซ้ำไป






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น