บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ไอ้โต้ง นี่เห็นไหม กูเหนียว [02]


คราวนี้ มาถึงเรื่องการเตือนไอ้แก้วครั้งที่ 2 ของผม 

ตลาดบรมธาตุ หมู่บ้านของผมนั้น เป็นจุดศูนย์กลางของความเจริญในยุคนั้น  “เรือสีเลือดหมู” เรือโดยสารก็มาจอดที่ท่าน้ำหน้าตลาด

วัดพระบรมธาตุ (วรวิหาร) เป็นวัดหลวงชั้นโท  เมื่อมีงานวัด  งานวัดของพระบรมธาตุก็ยิ่งใหญ่มากๆ ในยุคนั้น  จะมีหนังกลางแปลง หรือหนังขายยา ก็ต้องมาฉายที่ตลาดบรมธาตุ 

แต่ละครั้งที่มีงานเทศกาล มีหนัง มีลิเก ฯลฯ ก็จึงเป็นที่นัดพบของพวกเสือ สิงห์ กระทิง แรดไปโดยอัตโนมัติ 

ดังนั้น เมื่อไหร่มีงานทำนองนั้น ก็จะต้องมีเรื่องตีกัน แทงกัน ให้เห็นโดยตลอด

ป้าล้วน เป็นแม่ของเพื่อนคนหนึ่ง  แกมีอาชีพขายของกินตามงานวัด พวกฝรั่ง ถั่ว มะม่วง ฯลฯ ดังนั้น แกจึงเห็นภาพการมีเรื่องของจิ๊กโก๋อยู่เป็นประจำ

หลายๆ ครั้งอันธพาลประจำหมู่บ้าน ก็มายืมมีดเฉาะฝรั่งของป้าล้วนไปฟันกะบาลศัตรู แล้วก็เอาคืนแก ให้สับฝรั่งขายต่อไป

พวกผมเป็นจิ๊กโก๋ที่ขี้เกียจพกอาวุธเป็นอย่างยิ่ง เมื่อไหร่จะมีเรื่อง เราก็จึงไปหาอาวุธกันข้างหน้า  ในการไปเที่ยวนั้น มันไม่ได้มีเรื่องทุกครั้ง  แต่ก็มีบ่อยว่าอย่างนั้นเถอะ

ป้าล้วนบ้านอยู่ใกล้บ้านผม จึงสนิทกันมาก 

วันหนึ่ง แกถามผมว่า “กูถามจริง ไอ้โต้ง พวกมึงทำไมชอบมีเรื่องตอนมีงานวัด”  ผมก็ตอบด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า “ป้า ตอนไม่มีงาน มันก็ไม่เจอกัน แล้วจะไปตีกันยังไง

ป้าล้วนก็ต้องยอมรับว่า คำตอบของผมเป็นความจริงอย่างนั้น

วันนั้น มีงานที่วัดพระบรมธาตุเหมือนเดิม  พวกเสือ สิงห์ กระทิง แรดก็มาเที่ยวงาน สุมหัวกันตามปกติ

หนนี้ คนหาเรื่องมาให้ มันชื่อ “ไอ้อ้วน”  ไอ้อ้วนเป็นลูกผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ผมอยู่นั่นแหละ บ้านมันอยู่ท้ายเมือง ห่างจากตลาดบรมธาตุประมาณ 1-2 กิโลเมตร

หมู่บ้านของผม คือ หมู่ที่ 6 ต. ชัยนาท อ. เมือง เป็นหมู่บ้านแปลกๆ เพราะ กลุ่มของหมู่บ้าน 2 กลุ่มห่างกันมาก

ปัจจุบันนี้ ตลาดบรมธาตุแยกเป็นอีกหนึ่งหมู่บ้านแล้ว มีผู้ใหญ่บ้านเองแล้ว

ดังนั้น หมู่บ้านผมคือ ตลาดบรมธาตุ กับตลาดท้ายเมืองนั้น  จิ๊กโก๋มีความสามัคคีกันเป็นอย่างดี ส่วนใหญ่ก็เรียนโรงเรียนวัดส่องคบด้วยกันด้วย

รุ่นที่ผมเรียนนั้น โรงเรียนวัดพระบรมธาตุมีแค่ ป. 4 ต้องไปต่อ ป. 5-7 ที่โรงเรียนวัดส่องคบ (ท้ายเมืองอนุสรณ์)  ปัจจุบันโรงเรียนวัดพระบรมธาตุก็ยุบไปเรียบร้อยแล้ว

ผมจำได้ว่า ผมขี้เกียจไปเที่ยวงานแล้ว จึงมานั่งเล่นที่ศาลา ใกล้ๆ กับเจดีย์  นั่งเล่นอยู่จนดึก จนหนังใกล้จะเลิกแล้ว  ผมก็เห็นไอ้อ้วนเดินมาหา หน้าตาโศกเศร้ามาเลย

มันมาตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จว่า  ไปเที่ยวที่ไหนมาก็ไม่รู้  ถูกเขารุมกระทืบมา เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส 

เมื่อกี้ มันไปเห็นศัตรูคู่อาฆาตของมันมาดูหนัง  มันก็มาอ้อนวอนให้พวกผมไปแก้แค้นให้หน่อย

อย่างที่บอกไปว่า ไอ้อ้วนมา “ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ” ผมไม่ได้รู้ตอนนั้นหรอก รู้เมื่อวันต่อมา  ตอนนั้น ก็คิดว่าเป็นเรื่องจริงตามที่มันบอก

พอไอ้อ้วนมันเล่าให้ฟังแบบนั้น  กลุ่มเสือ สิงห์ กระทิง แรด + เหี้ย อย่างพวกเรา ก็เป็นเดือดเป็นแค้นแทนเพื่อนเป็นอย่างยิ่ง

กลุ่มสมาชิกก็คือ กลุ่มเหี้ยกินไก่อย่างที่เล่าไปครั้งแล้ว  ยกเว้นไอ้เปี๊ยก (เถิม) มันไม่ได้อยู่ด้วย ตกลงพวกเราตอนนั้นก็มีประมาณ 5 คน

เมื่อกล่อมพวกเราสำเร็จแล้ว ไอ้อ้วนก็เดินพาไปดูตัว พวกนั้นมากัน 3 คน ตัวใหญ่เบ้อเริ่ม เป็นจิ๊กโก๋รุ่นพี่ของพวกผม

พวกเราตกลงกันว่า รอให้หนังเลิกก่อน แล้วจึงค่อยลงมือ

พอหนังเลิก คนก็เริ่มเดินกันกลับบ้าน  พวกเราก็เดินตามกลุ่มเป้าหมายของเรามา  ตอนนั้น ผมชักเริ่มแปลกๆ แล้ว เพราะ กลุ่มเป้าหมายของเรา 3 คนนั้น มากับผู้หญิง

โดยปกติแล้ว  ถ้าผมไปพบศัตรูคู่อาฆาตมากับผู้หญิง  ผมมักจะไม่ทำอะไรพวกมัน คือ ให้เกียรติกันว่าอย่างนั้นเถอะ

เมื่อผมไม่เอา  คนอื่นก็ไม่กล้า.. เรื่องของเรื่อง ผมต้องไปกล่อมพวกมันนั่นแหละ  แต่คราวนี้ รับปากไอ้อ้วนมาแล้ว  มันก็ต้องเลยตามเลย  เดี๋ยวไอ้อ้วนมาด่าเอาได้

อย่างไรก็ดี  พอผมรู้ว่า พวกนั้นมากับผู้หญิง ผมก็ชักไม่อยากจะทำอะไรพวกมันแล้ว 

พวกผมเดินตามกลุ่มเป้าหมายมาติดๆ แบบว่า เอามือผลักหลังก็ยังได้  ผมก็รอว่า เมื่อไหร่จะมีใครลงมือสักที  ผมจะได้เลิกเดินตามมัน  ถือว่าทำหน้าที่เสร็จแล้ว

เดินมาจนใกล้ถึงเจดีย์แล้ว ตรงนั้นมีทางโค้งซึ่งจะต้องเลี้ยวขวาแล้ว  ตรงนั้นไฟสว่างมาก เป็นจุดที่ไม่เหมาะสมนัก

เรื่องนี้ ก็มีคนเคยถามเหมือนกันว่า “ทำไม ไปตีหัวเขาแล้ว ต้องวิ่งหนีด้วย”  น่าจะให้ฝ่ายถูกตีหนีอย่างเดียว

ผมก็ตอบว่า “ที่วิ่งหนีนั้น เผื่อว่ามันจะไปแจ้งความ” ไม่ได้กลัวมัน กลัวมันแล้ว จะไปตีมันทำไม

การที่มันเห็นหน้าเราไม่ชัด มันก็มีโอกาสรอดจากการถูกจับได้ง่าย  ถ้าจะกระทืบคนให้สลบไปเลย แล้วยืนเอาตีนเหยียบมันไว้ รอกระทั่งตำรวจมา มันก็ทำได้  แต่มันเป็นเรื่องของคนบ้า..

ดังนั้น ถ้าถึงไฟสว่างมากๆ ก็จะหมดโอกาสทำร้ายคน

ตอนนั้น ผมเดินอยู่ชิดกับกลุ่มเป้าหมายแล้ว เห็นไอ้พวกห่านั้น ไม่ทำอะไรซักที  ผมก็เลยหยุดเดิน ให้มันเดินห่างออกไปเรื่อยๆ

กลุ่มเสือ สิงห์ กระทิง แรด + เหี้ย มันก็คงงงๆ เหมือนกันว่าผมทำไมหยุดเดิน  บางคนคิดว่า ผมคงถอนตัว คือ ไม่เอาด้วยแล้วงานนี้

พอผมเห็นว่า ระยะมันห่างดีแล้ว  ผมก็วิ่งเข้าไปโดดเตะเข้าที่ก้านคอของไอ้คนเดินริมด้านขวา  ไอ้คนโคตรซวยนั้น คว่ำไปกับตา

พอผมเริ่มเปิดสักหลาดไปแล้ว  พวกเสือ สิงห์ กระทิง แรด + เหี้ย ก็เริ่มทำงานของพวกมัน คือ เขาไปต่อย กระทืบ เตะ ฯลฯ อะไรก็ว่าไป

แต่ตอนนั้น มันเหลือ 4 ต่อ 3 แล้ว  มันก็เลยสูสีขึ้นมาหน่อย  ที่ไม่ไปร่วมมือกับเขาก็คือ ผมเอง

ก็ผมโดดเตะไอ้คนหนึ่งไปแล้ว  ถือว่าทำหน้าที่เสร็จแล้ว  ผมก็เดินออกมาดูพวกมันเฉยๆ

อย่างที่บอกว่า พวกนั้นเป็นจิ๊กโก๋รุ่นพี่ สักพักพวกมันก็ตั้งตัวได้ แต่มันไม่รู้ว่า พวกเรามีกี่คน และไม่ใช่ถิ่นของเขาด้วย  พวกนั้น ก็เลยวิ่งหนีออกไปทางประตูวัด

ผมเห็นไอ้พวกนั้น วิ่งตามเขาไป  แต่เห็นแก้วถนัดมากกว่าคนอื่น ผมก็เลยตะโกนออกไปว่า “ไอ้แก้ว อย่าตามเขาไป”

ไอ้แก้วไม่ฟังผมเลย.. มันน่าจะหันหน้ามาถามว่า "มึงว่ายังไงนะ" ก็ยังดี

พวกถูกรุมกระทืบ กับพวกกระทืบเขาวิ่งหายกันไปหมด ผมก็ยืนรออยู่ตรงนั้น ข้างๆ เจดีย์  พักใหญ่ๆ เลย  ผมเห็นไอ้แก้วเดินเอามือกุมหัวกลับมา

อย่างที่บอกแล้วว่า พวกนั้นมันเป็นจิ๊กโก๋รุ่นพี่  มันก็มีประสบการณ์พอสมควร ไปถึงหน้าวัดแล้ว มีร้านขายเครื่องดื่มมาก

พวกมันก็เลยถือขวดน้ำอัดลมรออยู่  พอไอ้แก้วไปถึง มันก็ขวดตีกบาลไอ้แก้ว แล้วจึงค่อยวิ่งหนีไป

มาถึงผม ไอ้แก้วมันก็พูดว่า “ไอ้โต้ง นี่เห็นไหม กูเหนียว ขวดแตกกระจาย หัวกูไม่เป็นอะไรเลย”  ผมแหวกผมของไอ้แก้วดู  เออ.. จริงของมึง

อีกพักใหญ่ๆ เลย อันธพาลพวกผมก็กลับมาครบ  เราก็ไปนอนคุยกัน ถึงความมันในการทำร้ายร่างกายชาวบ้าน

เรื่องยังไม่จบแค่นั้น.. วันรุ่งขึ้น ผมกับไอ้อ๊อด (มินท์) 2 คน ก็ไปเที่ยวในตัวเมืองชัยนาทกัน

รู้สึกว่า ผมไปนั่งกินน้ำอยู่ที่ร้านหนึ่ง แถวๆ หน้าโรงหนังเฉลิมชัย  ผมสังเกตว่า มีจิ๊กโก๋ 3 คนมองผมมากผิดปรกติ  คล้ายๆ กับผมเป็นศัตรูคู่อาฆาตยังไงยังงั้น

ผมก็เลยถามไอ้อ๊อด (มินท์) ว่า “ไอ้ 3 คนนั่นเป็นใครว่ะ ทำไมมองเราอย่างนั้น”  ไอ้อ๊อดก็ตอบออกมาเป็นสัจจะวาจาว่า “ไอ้เหี้ย ก็พวกเราไปอัดมันมาเมื่อคืนไง

ผมนึกในใจ “อ้าว......เป็นเรื่อง” 

เมื่อคืนนั้น ผมไม่เห็นหน้าพวกนี้ จำได้เฉพาะตัวเพราะ ไอ้อ้วนไปชี้เป้าเท่านั้น แต่ไอ้อ๊อด (มินท์) มันจำหน้าเขาได้ด้วย

ผมก็เลยจะพยายามหาอาวุธแล้ว ไอ้เรื่องจะหนีมัน ไม่มีทางแน่ๆ ถึงแม้มันจะสามคน  ผมสองคนก็ตาม

อย่างไรก็ดี  วันนั้น เทวดามาโปรดทำให้รอดตัวมาได้

ไอ้อ๊อด (มินท์) นั้น มีพี่ชายชื่อพี่ต้อย  พี่ต้อยนี่เข้าขั้นเสือเลย ติดคุกคดีปล้นมาแล้ว  ปรากฏว่า ไอ้ 3 คนนั้น เป็นเพื่อนของพี่ต้อย

มันก็ต้องรู้ว่า พี่ต้อยบ้านอยู่บรมธาตุ  พอเห็นพวกผมที่ตลาดชัยนาท และเตรียมจะแก้แค้น มันเห็นพี่ต้อย  พวกมันก็เลยไปสอบถามก่อน

พอพี่ต้อยบอกว่า “เป็นน้องกูเอง”  และพี่ต้อยก็ขอโทษแทน  เรื่องมันก็จบลงไป 

อีกอย่างหนึ่ง เมื่อคืนนี้ ก็โชคดีอยู่อย่างคือ พวกผมไม่ได้ใช้อาวุธใดๆ เล่นกันด้วยหมัด ศอก เข่าแท้ๆ  มันจึงเป็นเรื่องขอกันกินได้ง่ายขึ้น

ผมชอบพี่ต้อยอยู่อย่างหนึ่ง คือ แกเดินมาบอกผมกับไอ้อ๊อด (มินท์) ว่า “เคลียเรื่องให้แล้ว” โดยไม่ต้องให้เราไปขอโทษพวกนั้น

แล้วผมก็มารู้ความจริงว่า ไอ้อ้วนมันจีบผู้หญิงสู้เขาไม่ได้  ไม่ใช่พวกเขามารุมกระทืบอะไรมัน

หลังจากนั้น อีกหลายวัน ผมเจอไอ้อ้วน ผมก็ด่ามันว่า “มึงมาโกหกทำไม

ไอ้อ้วนมันหน้าระรื่น ไม่มีแววสลดตอบว่า “ถ้ากูไม่โกหกมึง มึงก็ไม่เตะมันให้กูนะซิ

บุคคลในเรื่องนี้ ตอนนี้ตายไปแล้ว 2 คนคือ ไอ้อ๊อด (หนิท) กับพี่ต้อย ที่เหลือยังมีชีวิตอยู่ นานๆ เจอกันที ก็ด่าพ่อ ด่าแม่กันเหมือนเดิม

ขนาดขู่พวกมันว่า “กูเป็นด็อกเตอร์นะโว้ย”  มันก็ด่าเหมือนเดิม

ไอ้แก้วไปขายไก่ อยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชร คงจะกรรมจากการลักไก่บ่อยๆ  ไอ้อ๊อด (มินท์) อยู่กับลูกสาวที่จังหวัดอุดรธานี

ที่เหลือยังอยู่ที่จังหวัดชัยนาทเหมือนเดิม..

นิทานเรื่องนี้ สรุปว่า ขนาดที่ผมเตือนเพื่อนนั้น มันยังเกิดเหตุไปตามที่ผมเตือน ตอนนั้นบุญบารมีไม่ได้มากมายเหมือนปัจจุบันนี้

ดังนั้น ตอนนี้ ผมแช่งใครรับรองผลไปตามคำแช่งทุกคน โดยกายละเอียดจะโดนไปก่อนเลย เมื่อแช่งเสร็จแล้ว  รอแต่เพียงผลจะเกิดกับกายเนื้อเท่านั้น...






ไอ้โต้ง นี่เห็นไหม กูเหนียว


คนที่พูดว่า “ไอ้โต้ง นี่เห็นไหม กูเหนียว” คือไอ้แก้ว เพื่อนร่วมแก๊งอันธพาลของผมอีกคนหนึ่ง

มันพูดแล้ว ก็ยื่นหัวของมันมาให้ผมดู  มันเพิ่งไปโดน เขาเอาขวดอะไรก็ไม่รู้ สันนิษฐานว่าเป็นขวดน้ำอัดลม ฟาดกะบาลมา

ผมดูแล้ว เออ... มันก็เหนียวจริงๆ มีแค่รอยนิดๆ บนหัวของมันเท่านั้น  ผมหัวเราะ.. แล้วก็บอกมันว่า “กูบอกมึงแล้ว อย่าวิ่งตามเขาไป” 

นี่เป็นการเตือนครั้งที่ 2 ของผมที่มีต่อไอ้แก้ว ที่เป็นความจริงตามคำเตือน  ผมคงเตือนมันหลายครั้งหลายหน แต่ที่จำได้แม่นๆ ก็ 2 ครั้งดังกล่าว

เราต้องมาดูประวัติของไอ้แก้วกันก่อนว่า มันมีความเป็นมาอย่างไรบ้าง

ไอ้แก้วมันเป็นลูกหมอสิทธิ์  หมอสิทธิ์แกเป็นเสนารักษ์มาก่อน แล้วมาเปิดร้านขายยา ฉีดยา ฯลฯ หมู่บ้านของผม ถ้ามีโรคภัยไข้เจ็บก็มาหาหมอสิทธิ์นี่แหละ

ถ้าอาการหนักหนาสาหัสถึงจะไปโรงพยาบาลกัน

หมอสิทธิ์แกมีวิธีการฉีดยาที่เสียวสยองสำหรับผมมาก  เมื่อเห็นเหตุการณ์นั้นแล้ว ผมไม่ยอมให้หมอสิทธิ์ฉีดยาผมเลย ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไร 

ผมจะไปให้หมอล้ำฉีด  หมอล้ำท่านเป็นอนามัย ท่านมาอยู่ตลาดบ้านผมภายหลัง

จำได้ว่า “ไอ้เล็ก” ลูกอี้จุ่นมันเป็นไข้  ในฐานะที่ผมเป็นญาติผู้พี่ ก็ตามไปดูในห้องฉีดยาได้  หมอสิทธิ์ถือเข็มฉีดยาด้วยมือขวา  นิ้วโป้งกับนิ้วชี้มือซ้าย ก็ทำหน้าที่ให้ผิวสะโพกตึงขึ้น

แล้วแกก็ “พุ่งเข็มฉีดยา” ลงไปที่สะโพกของไอ้เล็กอย่างแม่นยำ  มือขวาของแกทำหน้าที่ได้ดีมาก คือ พุ่งตามเข็มไปด้วย

เมื่อจับสลิงก์ได้แน่นแล้ว หมอสิทธิ์จึงเดินยา  เป็นอันเสร็จขั้นตอน

ผมเองเมื่อโตขึ้นมานั้น  ถือว่าเป็นคนใจถึงมากถึงมากที่สุด  ขนาดว่า ไปบริจาคเลือด เข็มใหญ่ๆ ปานประหนึ่งเข็มฉีดควายนั้น ผมสามารถมองดูตอนพยาบาลแทงเข็มขาไปในแขนได้

ดูแบบเฉยๆ ไม่เสียวอะไรทั้งสิ้น  ผมก็ยังอดเสียวสยองวิธีการฉีดยาของหมอสิทธิ์ไม่ได้  รู้สึกเสียวสยอง มาจนกระทั่งทุกวันนี้

ไอ้แก้วเมื่อโตเป็นวัยรุ่น หมอสิทธิ์ทำห้องให้มันอีกห้องหนึ่ง อยู่ติดประตูวัด ติดถนนเลย ขอให้ดูแผนที่ด้านบน

ตลาดบรมธาตุจะมีลักษณะเป็นแถว 2 แถว  ระหว่างกลางนั้น จะมีตลาดอยู่ เดี๋ยวนี้รื้อไปแล้ว สร้างศาลาเล็กๆ ขึ้นมาแทน

ห้องของไอ้แก้ว เป็นทำเลที่เหมาะสำหรับเป็นที่ทำการของแก๊งอันธพาลเป็นอย่างยิ่ง มันอยู่ศูนย์กลางเลย

ดังนั้น บางครั้งบางคราวห้องไอ้แก้ว จึงเป็นที่รวมของเสือ สิงห์ กระทิง แรดไปโดยอัตโนมัติ  บางคราวก็รวม “เหี้ย” เข้าไปด้วย อย่างที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้

วันนั้น มี “เหี้ย” เข้าไปรวมตัวอยู่ 5 คน คือ อ๊อด (หนิท), ไอ้แก้ว, อ๊อด (มินท์), เปี๊ยก (เถิม), แล้วก้อผม

ห้องไอ้แก้วนี้ เป็นคลังแสงของพวกเราด้วย ระเบิดทุกชนิดในสงครามเวียดนาม ไปหาชมได้ที่ห้องไอ้แก้วดังกล่าว

ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเสนอไอเดียขึ้นมาว่า “ไปหาไก่มากินเหอะ” ช่วงนั้น จำได้ว่า เป็นช่วงบ่ายๆ แล้ว

ที่ว่าไปหาไก่มากินนั้น ไม่ใช่ไปขอซื้อเขา หรือจะไป KFC เพราะ มันไม่มีร้านขายแบบปัจจุบันนี้  แต่ไปขโมยไก่วัดมากิน  ผมถึงได้เปลี่ยนชื่ออันธพาลในวันนั้น เป็น “เหี้ย”  ก็คือ “เหี้ยกินไก่” นี่แหละ

แหล่งขโมยไก่ก็คือ “ฟาร์มไก่” ในภาพด้านบน

ในความเป็นจริงมันไม่ได้มี “ฟาร์มไก่” อะไรหรอก  แต่พระกับลูกศิษย์เขาเลี้ยงไว้หลายรุ่น  คำว่า “หลายรุ่น” นั้น  มันเป็นอย่างนี้

พระกับลูกศิษย์เขาก็จะไปหาไก่มาเลี้ยงตั้งแต่ตัวเล็กๆ  พอโตขึ้นเป็นไก่รุ่นกระทง เนื้อมันกินได้อร่อยดีแล้ว  พวก “เหี้ยกินไก่” ก็จะไปลักมากินเกือบหมดรุ่น

แต่พระกับลูกศิษย์ก็ยังไม่คิดอะไร ก็ไปหามาเลี้ยงอีก  พอโตขึ้น พวก “เหี้ยกินไก่” ก็ไปลักมากินอีก เป็นวัฏจักรแบบนี้

เมื่อมีคนเสนอไอเดียอันบรรเจิดออกมาแล้ว คือ อ๊อด (หนิท) กับ ไอ้แก้ว ซึ่งมีความชำนาญในเรื่องขโมยไก่เป็นอย่างยิ่ง  จึงออกไปทำหน้าที่

 “เหี้ย”  อีก 3 ตัวก็นอนรออยู่ในห้องไอ้แก้วนั่นแหละ

วันนั้น บอกตรงๆ ว่า ผมไม่ได้คาดหวังว่า จะได้กินไก่อะไรเลย  มันอยากจะทำอะไรก็เรื่องของพวกมัน ขี้เกียจขัดคอ

ที่ว่าไม่ได้คาดหวังนั้น  ไม่ใช่ดูถูกฝีมือของ ไอ้อ๊อด (หนิท) กับ ไอ้แก้วด้วย  ไอ้ 2 ตัว ฝีมือด้านขโมยไก่ของมันอยู่ในขั้นสุดยอดอยู่แล้ว

แต่มันเคยขโมยแต่ตอนกลางคืน  นี่มันกลางวันแสกๆ ตอนเที่ยงๆ ใกล้จะบ่ายแล้ว  มันจะไปขโมยมาได้อย่างไร  โดยไม่มีคนเห็น

คำว่า “ขโมย” นั้น หมายถึงว่า  “ไปเอาของคนอื่นมา โดยเจ้าของเขาไม่รู้ไม่เห็น”  นี่เป็นคำจำกัดความของพวกผม

แล้วผมก็ต้องแปลกใจที่ ไม่นานนักไอ้ 2 ตัวนั่น โผล่ยิ้มแป้นเข้าห้องมา  ในถือไอ้แก้วถือถุงกระดาษใบเบ้อเริ่ม  ในถุงมีไก่ 1 ตัว  ก็ไก่วัดนั่นแหละ

ไอ้ 2 ตัวนี่มันสุดยอดจริงๆ ตอนมันออกไป มันไม่มีถุงกระดาษไปด้วย

ในเมื่อแผนการขั้นแรกสำเร็จไปแล้ว  ขั้นตอนต่อไปก็คือ จะเอาไก่ไปทำที่ไหน  บ้านไอ้แก้วนั้น เรามีสิทธิเข้าได้เฉพาะห้องไอ้แก้วเท่านั้น  ห้องอื่นๆ ห้ามแตะต้องเด็ดขาด

ที่ประชุมของพวก “เหี้ยกินไก่” สรุปได้ว่า ไปทำที่แพไอ้เปี๊ยก (เถิม) เพราะ แพไอ้เปี๊ยก (เถิม) เราสามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับห้องครัวได้ตามสะดวก

ที่จริงไอ้เปี๊ยก (เถิม) นี่เป็นรุ่นพี่ของพวกผม น้องสาวของไอ้เปี๊ยก (เถิม) เรียนห้องเดียวกับผม แต่ผู้ชายนั้น ไม่ค่อยเรื่องมากเรื่องอายุ  ห่างกัน 4- ปี ถือเป็นรุ่นเดียวกันได้หมด

ที่นี้ แพของไอ้เปี๊ยก (เถิม) มันอยู่ที่แม่น้ำเจ้าพระยา  คำว่า “แพ” ก็บอกให้เห็นอยู่ชัดๆ พ่อของไอ้เปี๊ยก (เถิม) ก็คือ ลุงเถิม ท่านทำงานบนเขื่อนบรมธาตุ

ตามแผนที่ด้านบน  มันอยู่กันคนละฝั่งตลาด  ปัญหาก็คือ จะเดินทางไปทางไหน 

ผมในฐานะ “ขงเบ้ง” ของกลุ่ม “เหี้ยกินไก่”  ในวันนั้น แนะนำว่า ให้อ้อมไป  คือ อ้อมไปทางวัดก็ได้ หรืออ้อมไปบนเขื่อนก่อนก็ได้  ตามหลักการของ Slow but sure.

หนทางอ้อมมีหลายทางมาก คือ ยังมีทางแยกย่อยได้อีกเยอะ เพื่อจะหลบสายตาของชาวตลาดนั่นแหละ

ปรากฏว่า ผลคะแนนโหวต ผมแพ้ขาด  “ไอ้เหี้ยกินไก่”  4 ตัวนั่น มันบอกว่า เดินผ่านตลาดไปนั่นแหละ เร็วดี

ขนาดผมบอกว่า มึงจะรีบเร็วไปไหน ไม่ใช่ว่าไปถึงแพไอ้เปี๊ยก (เถิม) แล้วจะกินไก่ได้เลย มันก็ต้องฆ่าก่อน แล้วต้องทำอีก ต้องย่างอีก

ไม่มีใครฟังคำเตือนของผม........

บรรดา “เหี้ยกินไก่”  4 ตัวนั่นก็เริ่มเดินออกไปเลย  ผมนั้นไม่รู้ว่า มี sense จึงไม่ยอมเดินไปกับพวกมัน  แต่เอ้อระเหยลอยชาย ออกช้าๆ เดินตามหลังพวกมันไป

ทิ้งกลุ่มพวกมันให้เดินล่วงหน้าไปก่อน มากเหมือนกัน

พอบรรดา “เหี้ยกินไก่” 4 ตัวนั่นเดินไปถึงตลาดแล้ว  ตรงนั้นมี 4 แยกเล็กๆ อยู่หน้าร้านกาแฟไหวพอดี  

ไก่ชะตาขาดตัวนั้น มันคงรู้ตัวเหมือนกันว่า ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง มันจะต้องถูกเชือดแน่ๆ มันก็ดิ้นจนกระทั่งถุงกระดาษขาด

ตัวไก่มันร่วงลงมาถึงพื้น ตีปีกพึ่บพับๆ  จำไม่ได้ว่า มันร้องหรือเปล่า  ผมเห็นไอ้แก้วคนถือถุงยืนหน้าตาเหรอหราอยู่

คนทั้งตลาดหันไปมองไอ้แก้วเป็นตาเดียว

เมื่อผมเห็นเหตุการณ์ดังนั้น ผมก็เลี้ยวไปนั่งคุยกับแม่ผมที่ในตลาด  แม่ผมมองด้วยสายตารู้ทันว่า ผมอยู่ร่วมกระบวนการกับ “เหี้ยกินไก่” แน่ๆ  แต่ผมก็ทำไม่รู้ไม่ชี้

อย่างที่บอกว่า ตรงนั้นเป็นสี่แยกเล็ก ไอ้อ๊อด (หนิท), ไอ้อ๊อด (มินท์) ไอ้เปี๊ยก (เถิม) ต่างก็สลายตัวไปตามแยกต่างๆ อย่างรวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม

ทิ้งให้ไอ้แก้วยืนเด๋อด๋าอยู่คนเดียว

ผมนึกในใจว่า ไอ้แก้วมันจะบ้าไล่จับไก่กลางตลาดหรือเปล่า  คือ ถ้าพวกเราเดินอ้อมไปทางอื่น แล้วไก่มันล่วงมาแบบนี้  “เหี้ยกินไก่” ทั้งหมดต้องวิ่งไล่จับไก่กันแน่

ปรากฏว่า ไอ้แก้วมันฉลาดพอตัว มันปล่อยให้ไก่ ซึ่งชะตาไม่ขาดแล้ว ไปตามเรื่องตามราวของมัน มันก็รีบสลายตัวไปตามคนอื่นไป

เรื่องนี้เป็นที่ฮือฮาของชาวตลาดร้านถิ่นเป็นอย่างยิ่ง เพราะ “ไอ้แก้ว” ในสายตาของชาวตลาดร้านถิ่นนั้น  มันเป็นเด็กดี เด็กเรียน เด็กขยัน

ไม่มีประวัติด่างพร้อยอย่างพวก “เหี้ยกินไก่” อีก 4 ตัวที่เหลือ

นั่นเป็นการเตือนไอ้แก้วครั้งที่ 1 ของผม...............






เข้ากรงใหญ่ [03]


ใน 2 บทความแรก ผมได้เล่าไปแล้วว่า ขณะที่ตำรวจเชิญมาโรงพัก  ลุงคนหนึ่งก็ให้ข้อหาเพิ่มว่า “ไอ้นี่แหละ แทงผมเมื่อคืน”  ทำให้ผมโวยกับตำรวจอีก 

บรรดาสมาชิกในกรงขัง จึงชอบขี้หน้าผมขึ้นมาทันที

เมื่อผมเข้าไปแล้ว พร้อมสัมภาระ คือ เป้ทหาร 1 ใบ  วัยรุ่นสมัยก่อนเข้าฮิตกัน  เราต้องไปหาซื้อที่ตลาดตาคลี 

ตอนนั้น ทหารอเมริกันยังมีอยู่ในเมืองไทย  หาซื้อได้ง่าย

ในเป้ทหารดังกล่าว มีหนังสือโป๊เพียบ เป็นสิบยี่สิบเล่ม  ผมตั้งใจจะเอาไปแจกเพื่อนที่หมู่บ้าน แต่ยังไม่ทันถึงบ้าน ต้องมานอนโรงพักเสียก่อน

ผมเข้าไปแล้ว ก็ไปหามุมสงบเงียบนั่งอยู่  ในใจก็คิดว่า เดี๋ยวไอ้พจน์มันต้องไปบอกแม่ผมที่ตลาดเอง  ซึ่งผมคิดผิดไปมากเหมือนกัน

ไอ้พจน์มันไปบอกเหมือนกัน แต่มันไปอีกวันหนึ่ง หรือยังไงก็ไม่ทราบ แต่มันไม่ได้รีบไปบอกอย่างที่ผมคิด 

มันไปเที่ยวกับแฟนมันก่อน

ที่ๆ ผมไปนั่งสิงสถิตอยู่นั้น อยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตู  ถ้าหันหน้าเข้ากรงขัง ผมนั่งอยู่ด้านซ้ายมือของประตู ผมนั่งติดข้างฝาเลย เพราะ มันว่างอยู่ที่เดียว

นั่งได้ไม่ถึง 5 นาที  ผมเห็นว่า ทางฝั่งขวาของประตู มีเสียงเถียงอะไรกันพึมพำ  สักพักสมาชิกท่านหนึ่งก็ลุกขึ้นเตะสมาชิกอีกท่านหนึ่ง เข้าที่หน้า ดังสนั่น

ไอ้คนเตะมันยืน  ไอ้คนถูกเตะมันนั่ง ฟันกระจายออกมาเห็นๆ ...... เลือดกระจายตามมาด้วย...

ทุกคนในห้องเงียบกริบ  ไม่ได้ใครถาม ไม่มีใครห้าม  ผมนึกในใจ “ในคุกนี่ มันโหดจริงโว้ย”  ตำรวจก็ไม่เห็นให้ความสนใจอะไร

อยู่ไปอีกพักหนึ่ง มันก็อดคุยกันไม่ได้  ตอนนั้นก็เริ่มทำความรู้จักกัน  ไอ้ 2 ตัว คนเตะกับคนถูกเตะนั้น ก็หันหน้ามาคุยกันกะหนุงกะหนิงกันแล้ว

ผมแปลกใจเหมือนกัน อะไรวะ  เมื่อกี้เหมือนจะฆ่ากันตาย แป๊บเดียวดีกันแล้ว

ซักบ่ายๆ ไอ้พจน์ก็โผล่หน้ามา พร้อมกับซื้อของกินมาฝาก แล้วบอกว่า “เดี๋ยวจะหาทางไปบอกทางแม่ผมให้

ได้ของกินมาแล้ว  ผมก็แจกหมดทั้งตะราง  

รู้สึกในตอนเย็นๆ จนถึงกลางคืน ของกินมาอีกเพียบ จากคนในหมู่บ้าน ได้ของกินมาอีก ผมก็แจกเพียบทั้งตะรางอีก  ไม่ได้เก็บไว้เลย 

หนังสือโป๊ก็มอบให้ห้องสมุดในกรงขังเลยทั้งหมด  ใครจะเอาไปทำอะไรก็ไป  ห้องสมุดมันไม่มีหรอก  บรรดาสมาชิกก็เก็บไว้คนละเล่ม สองเล่ม

ถึงตอนกลางวัน และตอนเย็น  ผมต้องได้กินข้าวขาว  ก็คือข้าวราดแกงจากร้านข้างๆ โรงพัก เพราะ ยังเป็นผู้ต้องหาอยู่ 

ส่วนบรรดาสมาชิกท่านอื่นๆ ต้องกินข้าวจากคุก

ผมเกิดมาเป็นลูกแม่ค้า ถึงจะไม่ร่ำรวยอะไร แต่ไม่เคยขาดของกิน ก็แม่ขายของ เราก็กินกันเปรมอุรา 

องุ่นชั้นดีๆ ราคาแพงๆ  ผมนั่งเกาะเข่งกินเลย ว่าอย่างนั้นเถอะ  ผมก็เลยบริจาคข้าวขาวออกไป ใครจะกินก็กิน  ผมขอไปกินข้าวคุกแทน

ข้าวของคุกนี่ ต้องกินอย่างผู้ดีที่สุด จะมาสวาปามแบบลูกศิษย์วัดไม่ได้  ไม่อย่างนั้น ฟันฟางจะไม่มีเหลือ

เท่าที่จำได้มันมี “แกงส้มผักบุ้ง”  หมูถ้าจะมีก็คือวิญญาณของมัน  เนื้อมันไม่ได้มาด้วย 

สมาชิกในกรงจะต้องไปหิ้วออกมาจากข้างนอก เอามาจากเรือนจำจังหวัดชัยนาท ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน  ข้าว 1 กระแป๋ง  แกงส้มผักบุ้ง  1 กระแป๋ง  [กระแป๋งคือ ถังน้ำสังกะสี]

น้ำของแกงส้มผักบุ้งดำพอๆ กับ น้ำถูบ้านของผมนั่นแหละ  อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผักบุ้งจริงๆ

เวลากินทั้งหมดก็ต้องมากินรวมกัน   ไอ้ตัวที่กินข้าวขาวของผมหมดแล้ว มันยังไม่อิ่ม มันก็สามารถมากินได้อีก

ขณะที่จะตักข้าวเข้าปากนั้น เพื่อนสมาชิกเตือนด้วยความหวังดีว่า  กินให้ดีๆ นะมึง ระวัง “กับระเบิด”  

ฟังครั้งแรก ผมก็งงเหมือนกัน อะไรของมึงวะ “กับระเบิด

ข้าวของคุกเป็นข้าวแดง ไม่ได้ขัด ดังนั้น มันจึงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยก้อนกรวด ก้อนเล็กๆ เป็นจำนวนมาก  จนไม่สามารถเอาออกไปจากจานข้าวก่อนได้

ไอ้ก้อนกรวดก้อนเล็กนี่แหละคือ “กับระเบิด”  เมื่อตักข้าวเข้าปากแล้ว  ต้องค่อยๆ เคี้ยว  เมื่อพบแล้ว ก็ค่อยเอามาจากปาก

ผมกินข้าวช้าที่สุดในชีวิตของผมก็คราวที่ติดตะรางที่ชัยนาทนั่นแหละ  ประมาณ 6- 7 มื้อ ผมก็กินข้าวคุกตลอด 

ที่นี้มาอธิบายที่ว่า เมื่อผมได้ของกินมาแล้ว ไปแจกทั้งตะรางนั้น เป็นยังไง

คราวที่ผมไปติดกรงใหญ่คราวนั้น  ส้วมของกรงใหญ่มันตัน ใช้ไม่ได้  กรงใหญ่จึงไม่ใส่กุญแจเหมือนกรงอื่นๆ

ดังนั้น  ผมจึง “แรด” ไปคุยทุกกรง จำได้ว่า  กรงทางด้ายซ้ายมือเป็นผู้หญิงอาชีพพิเศษ ทางขวามือเป็นพวกทรงเจ้า แต่เป็นผู้หญิง

มีของกินก็ไปแจกพวกนั้นด้วย

มีคนด่าระบบยุติธรรมของประเทศไทยเรา “คุกมีไว้สำหรับขังคนจนกับหมา” นั้น  ค่อนข้างจะเป็นความจริง

พวกที่ติดตะรางอยู่นั้น  ไม่มีเงินประกันบ้าง ไม่มีเงินค่าปรับบ้าง ฯลฯ จึงต้องจำเป็นต้องติดตะรางแทน  อาหารการกินจึงไม่สมบูรณ์อะไรนัก บางคนไม่มีญาติอยู่ใกล้ๆ เลย

การที่ผมไปติดตะราง  มีของกินอะไรมา  แจกหมด ไม่ถือเนื้อถือตัว  พวกนั้นรู้ว่า ผมเป็นครู  พวกนั้นจึงชอบผมมาก

ติดตะรางหนนี้ ได้ความรู้ทางไสยศาสตร์มาเยอะมาก  คนที่นั่งติดผมเลย โดนคดีปล้น  มันเก่งไสยศาสตร์มากเลยทีเดียว 

มันเล่าให้ฟังหลายเรื่อง เช่น เรื่องนางตานี เป็นต้น  เวลามันเริ่มเรื่องมันจะว่า “ไอ้โต้ง มึงอยากมีเมียเป็นนางตานีไหม

ผมก็ตอบไปว่า “เฉพาะคนกูก็จะตายแล้ว ผีไม่เอาหรอก”  แต่มันก็เล่าให้ฟัง 

ผมก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง  พอมีเวลา “แรด” ไปคุยกับป้า ที่เป็นคนทรงเจ้า ก็ถามว่า ที่ไอ้นั่นมันเล่าให้ฟัง มันจริงไหม  ป้าก็ว่าเป็นจริงได้

พวกนี้ มันจะมีสำนวนอยู่อย่าหนึ่งคือ “เขาว่า”   เราก็อดจะถามกันไม่ได้ว่า “ไปโดนคดีอะไรมา”  ผมในฐานะน้องใหม่ก็ถามไปทุกคน

ทุกคนก็จะบอกว่า “เข้าว่า......”  ใหม่ผมก็ฟังเฉยๆ พอสนิทกันมากๆ  ผมก็ถามว่า “กูถามมึงจริงๆ เหอะ ที่เข้าว่า.... มันจริงหรือเปล่า

ไอ้พวกนั้นมันก็จะหัวเราะแหะๆ แล้วสารภาพ “จริงทุกคดี”

คนติดคุกติดตะรางนี่ จะต้องสะอาดมากๆ  คนไหนสูบบุหรี่จะต้องไปสูบในส้วมหรือหน้าส้วมโน่น  ขี้บุหรี่ห้ามตกลงบนบริเวณที่ใช้นอนเป็นอันขาด

พวกนี้จะกลัวพวก “เรือด” เป็นอย่างยิ่ง  เพราะ ถ้ากัดแล้ว มันจะทำให้เกิดเป็นผิวหนังไปกันใหญ่โต  เงินก็ไม่มีรักษาด้วย

ซี้ของผมบรรยายว่า “เรือด” ในตะรางมันฉลาดมาก  ในขณะนี่พวกติดตะราง ทำความสะอาดบริเวณนอนอย่างดีเยี่ยม  ตามร่องไม้ต่างๆ จะได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี

คุณ “เรือด” มันสามารถไต่ไปที่เพดาน  แล้วทิ้งดิ่งมาที่หน้าอกคนนอนได้  เอากะมันซิ...

โดยสรุป

เมื่อถึงวันจันทร์ผม 3 คนก็ไปขึ้นศาล  ศาลสั่งปรับ แล้วก็แยกย้ายกันไป  ผมก็กลับมาสอนหนังสือที่โรงเรียน

ผมไปถึงโรงเรียนวันอังคาร  ครูใหญ่ถามว่า “เมื่อวานไปไหนมา”   ผมก็ตอบว่า “ไปติดคุกมา

ครูใหญ่ก็ตกใจ ซักถามเรื่องราว  ครูใหญ่กลัวว่า จะต้องออกจากครู 

เรื่องนี้ เป็นคดีลหุโทษ  ตอนเกิดเรื่อง ผมยังเป็นเยาวชนอยู่เลย  จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่

สำหรับคดีแถมมาที่ว่า “ไอ้นี่แหละ แทงผมเมื่อคืน”  ที่ลุงคนท้ายเมืองบอกตำรวจนั้น ตำรวจเขาไม่เชื่อว่าเป็นผม 

เนื่องจากถูกจับแล้ว ผมก็ต้องบอกว่า “เป็นครู” เพิ่งมาจากลพบุรี  ตำรวจเขาเชื่อผมมากกว่า จึงไม่โดนคดีนั้น

ในความเป็นจริง  ลุงคนนั้น ท่านถูกแทงจริงๆ  คนแทงคือ “ไอ้ต๊อก”  ตระกูลไก่เหมือนกับผม  บ้านผมมี “โต้ง”, “อู”, “แจ้”  

ส่วนบ้านไอ้ต๊อกมี “ต๊อก” กับ “อู

ทั้งสองตระกูลไก่นี้  อันธพาลทั้ง 2 ตระกูล  ลุงแกก็เลยสับสน

อีกหลายปีต่อมา ลุงคนที่ว่าก็มาขอโทษผม บอกว่าจำผิดคนไป  ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร  ถึง ณ วันนี้ “ไอ้ต๊อก” ก็ตายไปแล้ว  ลุงคนนั้นก็ตายไปแล้ว  ไม่รู้ว่าจะตามไปแทงกันในนรกอีกหรือเปล่า

นั่นเป็นการไปติดตะรางหนสุดท้ายของผม 

ผมได้เข้าไปเดินเล่นในโรงพักอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้เข้าไปในกรง เพราะ เพื่อนที่เรียนปริญญาเอกคนหนึ่งชื่อ “พ.ต.อ. พงษ์นคร นครสันติภาพ” ชวนไปเที่ยวโรงพักที่ท่านทำงาน

เห็นพวกติดตะรางแล้ว นึกถึงอดีตของตัวผมเองเหมือนกัน  สงสารก็สงสารพวกนั้น แต่ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน

กรรมใครกรรมมัน..