ตลาดบรมธาตุ
หมู่บ้านของผมนั้น เป็นจุดศูนย์กลางของความเจริญในยุคนั้น “เรือสีเลือดหมู”
เรือโดยสารก็มาจอดที่ท่าน้ำหน้าตลาด
วัดพระบรมธาตุ
(วรวิหาร) เป็นวัดหลวงชั้นโท เมื่อมีงานวัด งานวัดของพระบรมธาตุก็ยิ่งใหญ่มากๆ ในยุคนั้น จะมีหนังกลางแปลง หรือหนังขายยา
ก็ต้องมาฉายที่ตลาดบรมธาตุ
แต่ละครั้งที่มีงานเทศกาล
มีหนัง มีลิเก ฯลฯ ก็จึงเป็นที่นัดพบของพวกเสือ สิงห์ กระทิง
แรดไปโดยอัตโนมัติ
ดังนั้น
เมื่อไหร่มีงานทำนองนั้น ก็จะต้องมีเรื่องตีกัน แทงกัน ให้เห็นโดยตลอด
ป้าล้วน
เป็นแม่ของเพื่อนคนหนึ่ง
แกมีอาชีพขายของกินตามงานวัด พวกฝรั่ง ถั่ว มะม่วง ฯลฯ ดังนั้น
แกจึงเห็นภาพการมีเรื่องของจิ๊กโก๋อยู่เป็นประจำ
หลายๆ
ครั้งอันธพาลประจำหมู่บ้าน ก็มายืมมีดเฉาะฝรั่งของป้าล้วนไปฟันกะบาลศัตรู
แล้วก็เอาคืนแก ให้สับฝรั่งขายต่อไป
พวกผมเป็นจิ๊กโก๋ที่ขี้เกียจพกอาวุธเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อไหร่จะมีเรื่อง เราก็จึงไปหาอาวุธกันข้างหน้า ในการไปเที่ยวนั้น
มันไม่ได้มีเรื่องทุกครั้ง
แต่ก็มีบ่อยว่าอย่างนั้นเถอะ
ป้าล้วนบ้านอยู่ใกล้บ้านผม
จึงสนิทกันมาก
วันหนึ่ง
แกถามผมว่า “กูถามจริง ไอ้โต้ง
พวกมึงทำไมชอบมีเรื่องตอนมีงานวัด” ผมก็ตอบด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า “ป้า ตอนไม่มีงาน มันก็ไม่เจอกัน แล้วจะไปตีกันยังไง”
ป้าล้วนก็ต้องยอมรับว่า
คำตอบของผมเป็นความจริงอย่างนั้น
วันนั้น
มีงานที่วัดพระบรมธาตุเหมือนเดิม พวกเสือ
สิงห์ กระทิง แรดก็มาเที่ยวงาน สุมหัวกันตามปกติ
หนนี้
คนหาเรื่องมาให้ มันชื่อ “ไอ้อ้วน” ไอ้อ้วนเป็นลูกผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ผมอยู่นั่นแหละ
บ้านมันอยู่ท้ายเมือง ห่างจากตลาดบรมธาตุประมาณ 1-2 กิโลเมตร
หมู่บ้านของผม
คือ หมู่ที่ 6 ต. ชัยนาท อ. เมือง เป็นหมู่บ้านแปลกๆ เพราะ กลุ่มของหมู่บ้าน 2
กลุ่มห่างกันมาก
ปัจจุบันนี้
ตลาดบรมธาตุแยกเป็นอีกหนึ่งหมู่บ้านแล้ว มีผู้ใหญ่บ้านเองแล้ว
ดังนั้น
หมู่บ้านผมคือ ตลาดบรมธาตุ กับตลาดท้ายเมืองนั้น
จิ๊กโก๋มีความสามัคคีกันเป็นอย่างดี
ส่วนใหญ่ก็เรียนโรงเรียนวัดส่องคบด้วยกันด้วย
รุ่นที่ผมเรียนนั้น
โรงเรียนวัดพระบรมธาตุมีแค่ ป. 4 ต้องไปต่อ ป. 5-7 ที่โรงเรียนวัดส่องคบ
(ท้ายเมืองอนุสรณ์)
ปัจจุบันโรงเรียนวัดพระบรมธาตุก็ยุบไปเรียบร้อยแล้ว
ผมจำได้ว่า
ผมขี้เกียจไปเที่ยวงานแล้ว จึงมานั่งเล่นที่ศาลา ใกล้ๆ กับเจดีย์ นั่งเล่นอยู่จนดึก จนหนังใกล้จะเลิกแล้ว ผมก็เห็นไอ้อ้วนเดินมาหา หน้าตาโศกเศร้ามาเลย
มันมาตีหน้าเศร้า
เล่าความเท็จว่า
ไปเที่ยวที่ไหนมาก็ไม่รู้
ถูกเขารุมกระทืบมา เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
เมื่อกี้
มันไปเห็นศัตรูคู่อาฆาตของมันมาดูหนัง
มันก็มาอ้อนวอนให้พวกผมไปแก้แค้นให้หน่อย
อย่างที่บอกไปว่า
ไอ้อ้วนมา “ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ” ผมไม่ได้รู้ตอนนั้นหรอก
รู้เมื่อวันต่อมา ตอนนั้น ก็คิดว่าเป็นเรื่องจริงตามที่มันบอก
พอไอ้อ้วนมันเล่าให้ฟังแบบนั้น กลุ่มเสือ สิงห์ กระทิง แรด + เหี้ย
อย่างพวกเรา ก็เป็นเดือดเป็นแค้นแทนเพื่อนเป็นอย่างยิ่ง
กลุ่มสมาชิกก็คือ
กลุ่มเหี้ยกินไก่อย่างที่เล่าไปครั้งแล้ว
ยกเว้นไอ้เปี๊ยก (เถิม) มันไม่ได้อยู่ด้วย ตกลงพวกเราตอนนั้นก็มีประมาณ 5
คน
เมื่อกล่อมพวกเราสำเร็จแล้ว
ไอ้อ้วนก็เดินพาไปดูตัว พวกนั้นมากัน 3 คน ตัวใหญ่เบ้อเริ่ม
เป็นจิ๊กโก๋รุ่นพี่ของพวกผม
พวกเราตกลงกันว่า
รอให้หนังเลิกก่อน แล้วจึงค่อยลงมือ
พอหนังเลิก
คนก็เริ่มเดินกันกลับบ้าน
พวกเราก็เดินตามกลุ่มเป้าหมายของเรามา
ตอนนั้น ผมชักเริ่มแปลกๆ แล้ว เพราะ กลุ่มเป้าหมายของเรา 3 คนนั้น
มากับผู้หญิง
โดยปกติแล้ว ถ้าผมไปพบศัตรูคู่อาฆาตมากับผู้หญิง ผมมักจะไม่ทำอะไรพวกมัน คือ
ให้เกียรติกันว่าอย่างนั้นเถอะ
เมื่อผมไม่เอา คนอื่นก็ไม่กล้า.. เรื่องของเรื่อง
ผมต้องไปกล่อมพวกมันนั่นแหละ แต่คราวนี้
รับปากไอ้อ้วนมาแล้ว
มันก็ต้องเลยตามเลย
เดี๋ยวไอ้อ้วนมาด่าเอาได้
อย่างไรก็ดี พอผมรู้ว่า พวกนั้นมากับผู้หญิง
ผมก็ชักไม่อยากจะทำอะไรพวกมันแล้ว
พวกผมเดินตามกลุ่มเป้าหมายมาติดๆ
แบบว่า เอามือผลักหลังก็ยังได้ ผมก็รอว่า
เมื่อไหร่จะมีใครลงมือสักที
ผมจะได้เลิกเดินตามมัน
ถือว่าทำหน้าที่เสร็จแล้ว
เดินมาจนใกล้ถึงเจดีย์แล้ว
ตรงนั้นมีทางโค้งซึ่งจะต้องเลี้ยวขวาแล้ว
ตรงนั้นไฟสว่างมาก เป็นจุดที่ไม่เหมาะสมนัก
เรื่องนี้
ก็มีคนเคยถามเหมือนกันว่า “ทำไม ไปตีหัวเขาแล้ว
ต้องวิ่งหนีด้วย” น่าจะให้ฝ่ายถูกตีหนีอย่างเดียว
ผมก็ตอบว่า
“ที่วิ่งหนีนั้น เผื่อว่ามันจะไปแจ้งความ”
ไม่ได้กลัวมัน กลัวมันแล้ว จะไปตีมันทำไม
การที่มันเห็นหน้าเราไม่ชัด
มันก็มีโอกาสรอดจากการถูกจับได้ง่าย
ถ้าจะกระทืบคนให้สลบไปเลย แล้วยืนเอาตีนเหยียบมันไว้ รอกระทั่งตำรวจมา
มันก็ทำได้ แต่มันเป็นเรื่องของคนบ้า..
ดังนั้น
ถ้าถึงไฟสว่างมากๆ ก็จะหมดโอกาสทำร้ายคน
ตอนนั้น
ผมเดินอยู่ชิดกับกลุ่มเป้าหมายแล้ว เห็นไอ้พวกห่านั้น ไม่ทำอะไรซักที ผมก็เลยหยุดเดิน ให้มันเดินห่างออกไปเรื่อยๆ
กลุ่มเสือ
สิงห์ กระทิง แรด + เหี้ย มันก็คงงงๆ เหมือนกันว่าผมทำไมหยุดเดิน บางคนคิดว่า ผมคงถอนตัว คือ
ไม่เอาด้วยแล้วงานนี้
พอผมเห็นว่า
ระยะมันห่างดีแล้ว
ผมก็วิ่งเข้าไปโดดเตะเข้าที่ก้านคอของไอ้คนเดินริมด้านขวา ไอ้คนโคตรซวยนั้น คว่ำไปกับตา
พอผมเริ่มเปิดสักหลาดไปแล้ว
พวกเสือ สิงห์ กระทิง แรด + เหี้ย
ก็เริ่มทำงานของพวกมัน คือ เขาไปต่อย กระทืบ เตะ ฯลฯ อะไรก็ว่าไป
แต่ตอนนั้น
มันเหลือ 4 ต่อ 3 แล้ว
มันก็เลยสูสีขึ้นมาหน่อย
ที่ไม่ไปร่วมมือกับเขาก็คือ ผมเอง
ก็ผมโดดเตะไอ้คนหนึ่งไปแล้ว ถือว่าทำหน้าที่เสร็จแล้ว ผมก็เดินออกมาดูพวกมันเฉยๆ
อย่างที่บอกว่า
พวกนั้นเป็นจิ๊กโก๋รุ่นพี่ สักพักพวกมันก็ตั้งตัวได้ แต่มันไม่รู้ว่า
พวกเรามีกี่คน และไม่ใช่ถิ่นของเขาด้วย
พวกนั้น ก็เลยวิ่งหนีออกไปทางประตูวัด
ผมเห็นไอ้พวกนั้น
วิ่งตามเขาไป
แต่เห็นแก้วถนัดมากกว่าคนอื่น ผมก็เลยตะโกนออกไปว่า “ไอ้แก้ว อย่าตามเขาไป”
ไอ้แก้วไม่ฟังผมเลย.. มันน่าจะหันหน้ามาถามว่า "มึงว่ายังไงนะ" ก็ยังดี
พวกถูกรุมกระทืบ
กับพวกกระทืบเขาวิ่งหายกันไปหมด ผมก็ยืนรออยู่ตรงนั้น ข้างๆ เจดีย์ พักใหญ่ๆ เลย
ผมเห็นไอ้แก้วเดินเอามือกุมหัวกลับมา
อย่างที่บอกแล้วว่า
พวกนั้นมันเป็นจิ๊กโก๋รุ่นพี่
มันก็มีประสบการณ์พอสมควร ไปถึงหน้าวัดแล้ว มีร้านขายเครื่องดื่มมาก
พวกมันก็เลยถือขวดน้ำอัดลมรออยู่ พอไอ้แก้วไปถึง มันก็ขวดตีกบาลไอ้แก้ว
แล้วจึงค่อยวิ่งหนีไป
มาถึงผม
ไอ้แก้วมันก็พูดว่า “ไอ้โต้ง นี่เห็นไหม กูเหนียว
ขวดแตกกระจาย หัวกูไม่เป็นอะไรเลย” ผมแหวกผมของไอ้แก้วดู เออ.. จริงของมึง
อีกพักใหญ่ๆ
เลย อันธพาลพวกผมก็กลับมาครบ
เราก็ไปนอนคุยกัน ถึงความมันในการทำร้ายร่างกายชาวบ้าน
เรื่องยังไม่จบแค่นั้น..
วันรุ่งขึ้น ผมกับไอ้อ๊อด (มินท์) 2 คน ก็ไปเที่ยวในตัวเมืองชัยนาทกัน
รู้สึกว่า
ผมไปนั่งกินน้ำอยู่ที่ร้านหนึ่ง แถวๆ หน้าโรงหนังเฉลิมชัย ผมสังเกตว่า มีจิ๊กโก๋ 3 คนมองผมมากผิดปรกติ คล้ายๆ กับผมเป็นศัตรูคู่อาฆาตยังไงยังงั้น
ผมก็เลยถามไอ้อ๊อด
(มินท์) ว่า “ไอ้ 3 คนนั่นเป็นใครว่ะ
ทำไมมองเราอย่างนั้น”
ไอ้อ๊อดก็ตอบออกมาเป็นสัจจะวาจาว่า “ไอ้เหี้ย
ก็พวกเราไปอัดมันมาเมื่อคืนไง”
ผมนึกในใจ
“อ้าว......เป็นเรื่อง”
เมื่อคืนนั้น
ผมไม่เห็นหน้าพวกนี้ จำได้เฉพาะตัวเพราะ ไอ้อ้วนไปชี้เป้าเท่านั้น แต่ไอ้อ๊อด
(มินท์) มันจำหน้าเขาได้ด้วย
ผมก็เลยจะพยายามหาอาวุธแล้ว
ไอ้เรื่องจะหนีมัน ไม่มีทางแน่ๆ ถึงแม้มันจะสามคน
ผมสองคนก็ตาม
อย่างไรก็ดี วันนั้น เทวดามาโปรดทำให้รอดตัวมาได้
ไอ้อ๊อด
(มินท์) นั้น มีพี่ชายชื่อพี่ต้อย
พี่ต้อยนี่เข้าขั้นเสือเลย ติดคุกคดีปล้นมาแล้ว ปรากฏว่า ไอ้ 3 คนนั้น เป็นเพื่อนของพี่ต้อย
มันก็ต้องรู้ว่า
พี่ต้อยบ้านอยู่บรมธาตุ
พอเห็นพวกผมที่ตลาดชัยนาท และเตรียมจะแก้แค้น มันเห็นพี่ต้อย พวกมันก็เลยไปสอบถามก่อน
พอพี่ต้อยบอกว่า
“เป็นน้องกูเอง” และพี่ต้อยก็ขอโทษแทน เรื่องมันก็จบลงไป
อีกอย่างหนึ่ง
เมื่อคืนนี้ ก็โชคดีอยู่อย่างคือ พวกผมไม่ได้ใช้อาวุธใดๆ เล่นกันด้วยหมัด ศอก
เข่าแท้ๆ
มันจึงเป็นเรื่องขอกันกินได้ง่ายขึ้น
ผมชอบพี่ต้อยอยู่อย่างหนึ่ง
คือ แกเดินมาบอกผมกับไอ้อ๊อด (มินท์) ว่า “เคลียเรื่องให้แล้ว”
โดยไม่ต้องให้เราไปขอโทษพวกนั้น
แล้วผมก็มารู้ความจริงว่า
ไอ้อ้วนมันจีบผู้หญิงสู้เขาไม่ได้
ไม่ใช่พวกเขามารุมกระทืบอะไรมัน
หลังจากนั้น
อีกหลายวัน ผมเจอไอ้อ้วน ผมก็ด่ามันว่า “มึงมาโกหกทำไม”
ไอ้อ้วนมันหน้าระรื่น
ไม่มีแววสลดตอบว่า “ถ้ากูไม่โกหกมึง
มึงก็ไม่เตะมันให้กูนะซิ”
บุคคลในเรื่องนี้
ตอนนี้ตายไปแล้ว 2 คนคือ ไอ้อ๊อด (หนิท) กับพี่ต้อย ที่เหลือยังมีชีวิตอยู่ นานๆ
เจอกันที ก็ด่าพ่อ ด่าแม่กันเหมือนเดิม
ขนาดขู่พวกมันว่า
“กูเป็นด็อกเตอร์นะโว้ย” มันก็ด่าเหมือนเดิม
ไอ้แก้วไปขายไก่
อยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชร คงจะกรรมจากการลักไก่บ่อยๆ ไอ้อ๊อด (มินท์) อยู่กับลูกสาวที่จังหวัดอุดรธานี
ที่เหลือยังอยู่ที่จังหวัดชัยนาทเหมือนเดิม..
นิทานเรื่องนี้
สรุปว่า ขนาดที่ผมเตือนเพื่อนนั้น มันยังเกิดเหตุไปตามที่ผมเตือน
ตอนนั้นบุญบารมีไม่ได้มากมายเหมือนปัจจุบันนี้
ดังนั้น
ตอนนี้ ผมแช่งใครรับรองผลไปตามคำแช่งทุกคน โดยกายละเอียดจะโดนไปก่อนเลย
เมื่อแช่งเสร็จแล้ว
รอแต่เพียงผลจะเกิดกับกายเนื้อเท่านั้น...